ประโยชน์ของการออกแบบและการจัดการเรียนรู้
การลงทุนที่ประสบความสำเร็จ หมายถึงผู้เกี่ยวข้องทุกคนได้ประโยชน์ หากเปรียบเทียบกับการทำงานทางธุรกิจแล้ว ประโยชน์ย่อมหมายถึงกำไร เจ้าของกิจการได้กำไร ลูกค้าพอใจในราคา คุณภาพ และบริการ คนงานและลูกจ้างได้รับค่าแรงงานที่เหมาะสม และมีความรู้สึกที่ดีต่อบริษัท ในทำนองเดียวกัน นักศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนย่อมได้ประโยชน์จากการเรียนการสอนไม่มากก็น้อย ดังที่ ไชยยศ เรืองงสุวรรณ ได้กล่าวว่า
1. ผู้บริหารหรือผู้จัดการโปรแกรมการศึกษาและการเรียนการสอนย่อมต้องการความมั่นใจในประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของการเรียนโดยใช้งบประมาณประหยัดที่สุด
2. นักออกแบบการสอน ย่อมต้องการความมั่นใจว่า โปรแกรมที่ออกแบบไว้เป็นโปรแกรมที่น่าพอใจ ซึ่งตัวบ่งชี้ที่สำคัญในความพอใจก็คือผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ในเวลาที่เหมาะสม
3. ครูผู้สอนย่อมต้องการที่จะเห็นผู้เรียนได้รับความรู้ ความสามารถอื่นๆ ที่จำเป็น รวมทั้งต้องการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้เรียน
4. ผู้เรียนต้องการความสำเร็จในการเรียน ได้รับประสบการณ์การเรียนด้วยความสนุกสนานและพอใจ
ออร์แลนสกี และสตริง (Oransky and Stering, 1981) ได้สรุปผลจากการวิจัยการสอนรายวิชาเทคนิคต่างๆ ด้านการทหารทีมีการออกแบบระบบการเรียนการสอนเป็นอย่างดีว่าสามารถลดเวลาการสอนรายวิชาเหล่านั้นลงได้จาก 25.30 สัปดาห์ เหลือเพียง 9.6 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามรายวิชาดังกล่าวที่เป็นรายงานผลวิจัยนั้น เป็นรายวิชาด้านการทหาร ยังไม่มีผลงานการวิจัยรายวิชาอื่น (ในต่างประเทศ) ที่พัฒนาขึ้นมาโดยกระบวนการออกแบบการเรียนการสอนแล้วกดเวลาการสอนได้ สำหรับในประเทศไทยอาจกล่าวได้ว่า ระบบการสอนของโครงการส่งเสริม สมรรถภาพการสอนนั้นเป็นการออกแบบและพัฒนาการเรียนการสอนที่ผลการวิจัยระบุว่าสามารถลดเวลาการสอนของครู และเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี(ไชยยศ เรืองสุวรรณ, 2533 : 14)
เกี่ยวกับเรื่องนี้ มีบางคนได้แย้งว่า การออกแบบการเรียนการสอนไม่ส่งเสริมให้เกิดการสร้างสรรค์ในการสอนหรือการออกแบบการเรียนการสอนเป็นการวางแผนการสอนที่ดูเหมือนว่าคนเป็นเครื่องจักรกลมากกว่าที่จะเป็นวิถีทางของมนุษย์ ซึ่งไชยยศ เรืองสุวรรณ ได้แสดงแนวคิดต่อข้อได้แย้งดังกล่าวว่า ถ้าการสร้างสรรค์หมายถึง การกำหน การพัฒนา และการแสดงออก ซึ่งแนวคิดใหม่เพื่อนำไปแก้ปัญหาต่างๆแล้ว กระบวนการออกแบบการเรียนการสอนย่อมเป็นการสร้างสรรค์ ทั้งนี้เพราะกระบวนการดังกล่าวมีความยืดหยุ่น ซึ่งหมายความว่า องค์ประกอบต่างๆในระบบการเรียนการสอนนั้นสามารถพัฒนาได้หลายรูปแบบได้แตกต่างกันตามแนวคิดของนักออกแบบการเรียนการสอนแต่ละคน การสร้างสรรค์อาจจะเกิดในช่วงใดก็ได้ การออกแบบการเรียนการสอนคำนึงถึงการสอนตามวิธีมนุษย์นิยมที่พิจารณาความเป็นปัจเจกบุคคล และความแตกต่างของบุคคลในด้านต่างๆ แล้วยังไม่ได้เน้นต่อไปอีกว่า คำอธิบายของคนอาจมีข้อโต้แย้งเช่นกัน และวิธีขจัดข้อโต้แย้งที่ดีวิธีหนึ่ง คือ การนำไปทดลองใช้ (ไชยยศ, 2533 : 15)
สำหรับผู้เขียนเห็นว่าการออกแบบการเรียนการสอนเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ต่อบุคลากรทางการศึกษาทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยชน์ต่อผู้เรียน เพราะการออกแบบการเรียนการสอนจะเน้นที่ความแตกต่างระหว่างบุคคล ดังเห็นได้จากมีการประเมินความต้องการจำเป็นของผู้เรียนในด้านกลวิธีการเรียนการสอนเน้นที่การเรียนการสอนโดยรายบุคคลเป็นส่วนใหญ่และการประเมินผลเน้นที่การประเมินเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน และใช้การประเมินในลักษณะของการประเมินแบบอิงเกณฑ์ ซึ่งถ้าแยกพิจารณาโดยละเอียด อาจเป็นดังนี้
ความแตกต่างระหว่างบุคคล จากข้อความจริงที่ว่า บุคคลย่อมแตกต่างกัน ไม่มีคนสองคนใดเหมือนกันทุกประการ นักเรียนบางคนเรียนเพื่อหาวิชาได้เร็วมาก บางคนเรียนได้ช้า บางคนเรียนได้ดีที่สุดด้วยการปฏิบัติ บางคนเรียนได้ดีเมื่อมีกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น บางคนเรียนได้ดีจากการสังเกต ด้วยการอ่าน บางคนเรียนได้ดีที่สุดด้วยตนเอง บางคนรู้จักประยุกต์ใช้ความรู้ที่เรียนในชีวิตประจำวัน การที่ผู้สอนจะเพิกเฉยต่อแบบการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน (different learning style) ของแต่ละบุคคลจะทำให้ประสิทธิภาพในการเรียนการสอนไม่เกิดผลเท่าที่ควร เป็นการเสียเวลาทั้งครูและนักเรียนที่ได้พยายามมาโดยตลอด การออกแบบการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับเอภัตภาพของผู้เรียนแต่ละคน จะช่วยสนองความแตกต่างระหว่างบุคคลได้
กลยุทธ์การสอน การออกแบบการเรียนการสอนที่เน้นการสอนรายบุคคลโดยอาศัยสื่อต่างๆเข้าช่วย ทั้งที่เป็นสื่อประเภทที่มีความซับซ้อนน้อย เช่น กระดาษ ดินสอ สื่อที่มีความซับซ้อนปานกลาง เช่น โสตทัศนูปกรณ์ต่างๆ และสื่อที่มีความซับซ้อนมาก ซึ่งหมายถึงสื่อที่มีปฏิกิริยาสัมพันธ์ซึ่งกันและกันโดยอาศัยสื่อโทรคมนาคม (interactive learning media) และคอมพิวเตอร์เข้าช่วย การเรียนการสอนรายบุคคลทำให้ผู้เรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์ พัฒนามโนทัศน์ของตัวเอง เป็นการเสาะแสวงหาความสามารถพิเศษของผู้เรียน และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้ศักยภาพของคนที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน ทำให้ผู้เรียนช้าไม่เหนี่ยวรั้งผู้เรียนเร็ว และผู้ที่เรียนเร็วสามารถไปให้ไกลสุดจนสุดพรมแดนความรู้ของตนเอง การออกแบบการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละคนจะช่วยในจุดนี้ได้
การประเมินผลเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน จะทำให้ทั้งผู้สอนและผู้เรียนปรับปรุงตนเองอยู่เสมอ เพราะการประเมินผลเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอนอาศัยการประเมินตัวต่อตัว ประเมินกลุ่มย่อยและการทดลองภาคสนาม การออกแบบการเรียนการสอนจะทำให้การประเมินในลักษณะนี้มีความชัดเจนขึ้น และใช้การประเมินแบบอิงเกณฑ์ โดยประเมินผู้เรียนแต่ละคนเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ หรือเปรียบเทียบกับจุดประสงค์ ในลักษณะนี้จะทำให้ผู้เรียนเรียนด้วยความร่วมมือกันมากกว่าที่จะแข่งขันกัน เพราะการสร้างสถานการณ์ในชั้นเรียน หรือในสถานศึกษาให้ผู้เรียนเรียนด้วยความร่วมมือกันนั้นย่อมมีประโยชน์ต่อผู้เรียนมากกว่าการสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนเกิดการแข่งขันกันแน่นอน เพราะไม่ต้องมีผู้แพ้ให้เกิดปมด้อยไม่ต้องมีการสร้างศัตรู และที่สำคัญคือผู้เรียนสามารถทำงานของตนเองด้วยความสบายใจ ไม่ต้องพะวงว่าจะสู้ผู้อื่นไม่ได้ ในขณะเดียวกัน หากเพื่อนขอความช่วยเหลืออันใด ก็จะยินยอมให้ความร่วมมือที่ดี โดยไม่ต้องเกรงว่าเพื่อนจะดีกว่าตน นอกจากนี้ยังเป็นการเพาะนิสัยที่พึงปรารถนา ให้แก่ผู้เรียนอีกด้วย เพราะหากจัดการเยนการสอนแบบร่วมมือกันเป็นพื้นฐานแล้ว ผู้เรียนจะติดนิสัยการให้ความร่วมมือกับผู้อ่านในภายหน้าจะทำให้สังคมได้เยาวชน นักการเมือง และผู้ประกอบวิชาชีพในสาขาต่างๆ ที่เห็นแก่ส่วนรวม มีความเป็นประชาธิปไตย ยอมรับความคิดเห็น และปฏิบัติตามมติของกลุ่ม แม้ว่าตนเองจะไม่เห็นด้วย รู้จักช่วยให้กลุ่มประสบความสำเร็จในงาน เพราะงานบางอย่าง บางประเภท ไม่อาจทำสำเร็จได้โดยเพียงลำพังผู้เดียว ต้องอาศัยความร่วมมือช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ส่วนการแข่งขันนั้น บางครั้งเพราะนิสัยเห็นแก่ตัว หรือเอาตัวรอดให้กับเด็กได้ และหากจะมีการแข่งขันกันอยู่ การแข่งขันนั้นควรจะเป็นการเสริมแรงทางบวก คือ การแข่งขันกับตนเองเพื่อที่จะชนะใจตนเอง มีวินัยในตนเอง และพัฒนาในตนเองในที่สุด ซึ่งการออกแบบการเรียนการสอนจะสนองความต้องการของผู้เรียนและผู้สอนในจุดนี้ได้ด้วยการวางแผนออกแบบการเรียนการสอนที่สมบูรณ์ (กาญจนาและลัดดา, 2537)
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แบบจำลองการออกแบบการเรียนการสอนโดยทั่วไป
ออกแบบการเรียนการสอนนำความรู้จากหลายวิชามาประยุกต์เข้าด้วยกันเป็นขั้นตอนกระบวนการเชิงระบบเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน โดยพื้นฐานแล้ววิธีการเชิงระบบกำหนดให้ต้องระบุว่า จะเรียนอะไร วางแผนการเรียนการสอนว่าจะยอมให้การเรียนรู้อะไรเกิดขึ้น วัดผลการเรียนรู้เพื่อตัดสินว่า การเรียนรู้นั้นบรรลุตามจุดประสงค์หรือไม่และกลั่นกรองตัวสอดแทรก (Intervention) จนกระทั่งบรรลุจุดประสงค์ จากลักษณะนี้เองจึงทำให้เกิดแบบจำลองการออกแบบการเรียนการสอนทั่วไป (Generic Instruction Design Model : ID model) ขึ้น (Gibbons 1981 : 5, Hannum and Hansen, 1989)
แบบจำลองการออกแบบการเรียนการสอนทั่วไป มีความง่ายในการใช้มาก แต่ต้องใช้ด้วยความประณีต และปรับปรุงอยู่เสมอ อย่างไรก็ตามแบบจำลองการออกแบบการเรียนการสอนโดยทั่วไปได้จัดเตรียมการแนะนำขั้นตอนในกระบวนการของการออกแบบไว้อย่างดี แบบจำลองในลักษณะนี้มีความหมายว่าการออกแบบการเรียนการสอนเป็นกระบวนการเชิงระบบที่ประกอบด้วยขั้นตอนโดยทั่วไปดังนี้ คือ
1. การวิเคราะห์ (Analysis)
2. การออกแบบ (Design) ซึ่งเป็นกระบวนการของการระบุว่าจะเรียนอย่างไร
3. การพัฒนา (Development) เป็นกระบวนการของการจัดการและการผลิตวัสดุอุปกรณ์
4. การนำไปใช้ (Implementation) เป็นกระบวนการของกำหนดโครงการในบริบทของโลกแห่งความเป็นจริง
5. การประเมินผล (Evaluation) เป็นกระบวนการของการตัดสินตกลงใจต่อความเพียงพอของการเรียนการสอน
เกี่ยวกับระบบการเรียนการสอนนี้ แฮนนัมและบริกส์ (Hannum and Briggs) ได้เปรียบเทียบการเรียนการสอนแบบดั้งเดิม และการเรียนการสอนเชิงระบบ
ในการออกแบบการเรียนการสอนนี้ กระบวนการมีความสำคัญพอๆกับผลิตผล เพราะว่าความเชื่อมั่นในผลิตผลจะขึ้นอยู่กับกระบวนการ มนการที่จะมีความเชื่อมั่นในผลผลิต ต้องดำเนินตามขั้นตอนของแบบจำลองการออกแบบการเรียนการสอน สำหรับในแต่ละขั้นตอนนั้น ลำดับขั้นตอนของภาระงานจะต้องแสดงออกมา และผลที่ได้รับทีมีความเฉพาะเป็นพิเศษก็จะเกิดขึ้น
จากหลักการเพื่อออกแบบการเรียนการสอนที่กล่าวมาแล้ว สิ่งที่จะแสดงได้ชัดเจนเพื่อการจัดการเรียนการสอนที่เป็นรูปธรรม คือ รูปแบบการออกแบบการเรียนการสอน (Instructional Design Model) ที่จะเป็นเครื่องมือสำคัญและเป็นแนวทางให้ผู้สอนทุกคนสามารถดำเนินการสอนให้ได้มาตรฐานของการเรียนการสอนที่ใกล้เคียงกันแม้ว่าผู้สอนจะมีประสบการณ์ต่างกัน รูปแบบการออกแบบการเรียนการสอนประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ในการออกแบบระบบการเรียนการสอน ซึ่งมักจะเขียนในรูปแบบของผังแสดงลำดับการทำงาน (Flowchart) เพื่อแสดงรูปแบบให้เข้าใจได้ง่าย และรวดเร็ว โดยหลักการพื้นฐานในการออกแบบการเรียนการสอนที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย คือ
1. แบบจำลอง ADDIE
ที่มีองค์ประกอบ ๕ ขั้นตอน ดังนี้
1. ขั้นการวิเคราะห์
การวิเคราะห์เป็นขั้นตอนแรกของกระบวนการออกแบบการเรียนการสอน ผู้ออกแบบจะต้องกำหนดความจำเป็นในการเรียน ทำการวิเคราะห์เนื้อหาหรือกิจกรรมการเรียนการสอน คุณลักษณะของผู้เรียน วัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนเพื่อรวบรวมข้อมูล สำหรับใช้เป็นแนวทางในการกำหนดขอบเขตของบทเรียน ขั้นการวิเคราะห์ประกอบด้วยขั้นตอนย่อย ดังนี้
1.1 วิเคราะห์ความจำเป็น (Need Analysis) คือการวิเคราะห์เพื่อกำหนดเลือกว่าควรจัดการเรียนการสอนเกี่ยวกับอะไร โดยอาจหาข้อมูลจากความต้องการของผู้เรียน หรืออาจหาข้อมูลจากการกำหนดความจำเป็น ปัญหาขัดข้อง หรืออุปสรรคที่ทำให้การเรียนการสอนไม่บรรลุตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้และพิจารณาว่ามีความจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องจัดการเรียนการสอน หากจำเป็นหรือสมควรจัด และควรจัดอย่างไร
1.2 วิเคราะห์เนื้อหา หรือ กิจกรรมการเรียนการสอน (Content and Task Analysis) คือ การวิเคราะห์เพื่อจัดการเรียนการสอนให้ครอบคลุม หรือสอดคล้องกับความต้องการ ความจำเป็นในการเรียนการสอน โดยพิจารณาอย่างละเอียดด้านเนื้อหา มีการแบ่งเนื้อหาเป็นหัวข้อใหญ่ และหัวข้อย่อย ๆ เพื่อให้มีความชัดเจน กำหนดเลือกกิจกรรมการเรียนการสอนที่เหมาะสมที่จะให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
1.3 วิเคราะห์ผู้เรียน (Analyze Leamer Characteristic) เป็นการวิเคราะห์เพื่อสรุปเป็นข้อมูลสำหรับการจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับผู้เรียน โดยควรวิเคราะห์ทั้งลักษณะทั่วไป เช่น อายุ ระดับความรู้ความสามารถ เพศ สังคม วัฒนธรรม เป็นต้น และควรวิเคราะห์ ลักษณะเฉพาะของผู้เรียนด้วย เช่น ความรู้พื้นฐาน ทักษะความชำนาญ หรือความถนัด รูปแบบการเรียน ทัศนคติ เป็นต้น
1.4 วิเคราะห์วัตถุประสงค์ (Analyze Objective) วัตถุประสงค์ของการเรียนการสอน คือ จุดหมายปลายทางที่กำหนดไว้ให้ผู้เรียนและผู้สอนรู้ว่าเมื่อเรียนบทเรียนนั้น ๆ แล้วจะเกิดการเรียนรู้อะไรบ้าง ดังนั้นการกำหนดจุดวัตถุประสงค์จึงต้องมีการวิเคราะห์อย่างละเอียดและรอบคอบ โดยอาจกำหนดจุดมุ่งหมายหรือเป้าหมายหลักของการเรียนการสอนก่อน แล้วจึงกำหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่สามารถประเมินผลได้ชัดเจนเป็นรูปธรรมว่าผู้เรียนบรรลุการเรียนตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่ โดยวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมแยกเป็น ๓ ด้าน คือ
1) วัตถุประสงค์ด้านพุทธิพิสัย คือ พฤติกรรมเกี่ยวกับความรู้ ความเข้าใจ
2) วัตถุประสงค์ด้านจิตพิสัย คือ พฤติกรรมเกี่ยวกับความรู้สึก ค่านิยม ทัศนคติ
3) วัตถุประสงค์ด้านทักษะพิสัย คือ พฤติกรรมเกี่ยวกับการกระทำหรือการปฏิบัติ
1.5 วิเคราะห์สภาพแวดล้อม (Analyza Environment) วัตถุประสงค์การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมในการสอน เพื่อเป็นการเตรียมการล่วงหน้าว่า สถานที่ เวลา และบริบทในการเรียนการสอนที่จะดำเนินการนั้นจะอยู่ในสภาพใด เช่น ขนาดห้องเรียน อุปกรณ์สื่อการเรียนการสอนที่จะใช้คืออะไร
2. ขั้นการออกแบบ
การออกแบบเป็นกระบวนการกำหนดว่าจะดำเนินการเรียนการสอนอย่างไร โดยมีการเขียนวัตถุประสงค์จัดทำลำดับขั้นตอนการเรียน กำหนดวิธีสอน เลือกสื่อการเรียนการสอนที่เหมาะสมและกำหนดวิธีการประเมินผลว่าผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่ ขั้นการออกแบบประกอบด้วยขั้นตอนย่อย ทั้งด้าน การระบุวัตถุประสงค์ ระบุวิธีสอน ระบุสื่อการสอน และระบุวิธีการประเมินผล
3. ขั้นการพัฒนา
การพัฒนาเป็นกระบวนการดำเนินการเตรียมการจัดการเรียนการสอน หรือ สร้างแผนการเรียนการสอน เลือกใช้สื่อการเรียนการสอนโดยพิจารณาสื่อที่มีอยู่ว่าเหมาะสมที่จะใช้ ควรปรับปรุงก่อนใช้ หรือ ควรต้องสร้างสื่อใหม่ และทำการประเมินผลขณะดำเนินการพัฒนาหรือสร้างเพื่อปรับปรุง/แก้ไขให้ได้ระบบการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ พัฒนาแผนการเรียนการสอน พัฒนาสื่อการเรียนการสอน ประเมินผลขณะดำเนินการพัฒนา ขั้นการพัฒนาประกอบด้วยขั้นตอนย่อย อาทิ การพัฒนาแผนการเรียนการสอน การพัฒนาสื่อการเรียนการสอน และการประเมินผลระหว่างดำเนินการพัฒนา
4. ขั้นการนำไปใช้
การนำไปใช้เป็นขั้นตอนการดำเนินการเรียนการสอนตามที่ได้ออกแบบและพัฒนาไว้แล้ว ในสภาพจริง
5. ขั้นการประเมินผล
การประเมินผลเป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการออกแบบระบบการเรียนการสอน เพื่อประเมินผลขั้นตอนต่าง ๆ ว่าเป็นไปตามที่ได้วางแผนหรือไม่ และทำการปรับปรุง แก้ไขให้ได้ระบบการสอนที่มีประสิทธิภาพ
2. การออกแบบการเรียนการสอนอีเลิร์นนิง (Instructional design for e-Learning)
การออกแบบการเรียนการสอนแบบอีเลิร์นนิง ไม่แตกต่างจากการออกแบบการเรียนการสอนที่ได้กล่าวมาแล้ว โดยสามารถกระทำได้เช่นเดียวกับการออกแบบการเรียนการสอนในห้องเรียนปกติ ทั้งนี้ผู้สอนแบบอีเลิร์นนิงนอกจากจะมีความสามารถในการสื่อสารการสอนเช่นเดียวกับการสอนห้องเรียนปกติแล้วยังต้องมีความรู้ความสามารถเข้าใจและมีความสามารถอย่างดีในการเลือกใช้เครื่องมือการสอนจากระบบบริหารจัดการเรียนการสอน และเครื่องมือทางอินเทอร์เน็ต เพื่อเป็นเครื่องมือในการสื่อสารปฏิสัมพันธ์ทางการเรียน เนื่องจากผู้เรียนและผู้สอนไม่ได้พบกันแบบเผชิญหน้าแเหมือนห้องเรียนปกติการออกแบบระบบการเรียนการสอนเป็นกระบวนการ มีขั้นตอนในการวางแผนอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ได้ระบบการเรียนการสอนที่ดี สำหรับการออกแบบระบบการเรียนการสอนแบบอีเลิร์นนิงจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากแหล่งทรัพยากรที่มากกว่าการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียนปกติ รูปแบบระบบการเรียนการสอนจึงมีส่วนสำคัญในการดำเนินการเพื่อประสานกับกลุ่มบุคคลที่เป็นแหล่งทรัพยากรและช่วยดำเนินการให้การเรียนการสอนอีเลิร์นนิงเกิดขึ้นได้
การจัดการเรียนการสอนอีเลิร์นนิงมีความแตกต่างไปจากการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียนปกติ เนื่องจากผู้เรียนและผู้สอนอาจมีความแตกต่างกันในเรื่องของเวลา และสถานที่ ผู้ที่จัดการเรียนการสอนอีเลิร์นนิงจึงจำเป็นต้องมีความเข้าใจลักษณะและธรรมชาติของการเรียนการสอนทางไกลที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารด้านคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลาง ซึ่งผู้เรียนมักคาดหวังการได้รับปฏิสัมพันธ์จากผู้สอน รวมถึงการตอบสนองความแตกต่างรายบุคคลที่มากกว่าในห้องเรียนปกติ ตลอดจนต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการการศึกษาทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ต ทฤษฎีการสื่อสาร ทฤษฎีการเรียนรู้ ทฤษฎีระบบ และรูปแบบระบบการเรียนการสอน เพื่อเป็นฐานในการออกแบบการเรียนการสอนอีเลิร์นนิงได้ อีกทั้งการออกแบบการสอนไม่ได้เป็นการเน้นที่การถ่ายโอนความรู้ (Transfer of knowledge) จากผู้สอนไปยังผู้เรียนเท่านั้น การเรียนการสอนแบบอีเลิร์นนิงจำเป็นต้องคำนึงถึงการออกแบบการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญซึ่งประกอบด้วยการเรียนตามอัตราความก้าวหน้ารายบุคคล การมีปฏิสัมพันธ์ในการเรียนการสอนเป็นสำคัญ และสภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้ผ่านอินเทอร์เน็ตด้วย
สำหรับการจัดการเรียนการสอนอีเลิร์นนิงนั้น แบบจำลองการออกแบบการเรียนการสอนอีเลิร์นนิงสามารถนำหลักการพื้นฐานในการออกแบบการเรียนการสอน คือ แบบจำลอง ADDIE Model ทั้งองค์ประกอบ 5 ขั้นตอนคือ การวิเคราะห์ การออกแบบ การพัฒนา การนำไปใช้ และการประเมินผล มาเป็นแนวทางเพื่อการออกแบบการเรียนการสอนอีเลิร์นนิงได้เช่นเดียวกับการสอนในห้องเรียนปกติ มีรายละเอียดและตัวอย่างดังนี้
1. การวิเคราะห์
1.1 วิเคราะห์ความจำเป็น
- จัดการเรียนการสอนอีเลิร์นนิงในหลักสูตร รายวิชา หรือเนื้อหาอะไร
- จัดการเรียนการสอนแบบอีเลิร์นนิงเต็มรูปแบบ หรือแบบผสมผสาน หรือเสริมการเรียนการสอน
1.2 วิเคราะห์เนื้อหา หรือกิจกรรมการเรียนการสอน
- การแบ่งเนื้อหาเป็นหัวข้อใหญ่ และหัวข้อย่อย ๆ เพื่อให้มีความชัดเจน กำหนดเลือกกิจกรรมการเรียนการสอนที่เหมาะสมที่จะให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
1.3 วิเคราะห์ผู้เรียน
- ข้อมูลผู้เรียน เช่น ระดับชั้น อายุ ความรู้พื้นฐาน เพื่อให้ได้บทเรียนที่มีคุณภาพ และเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย
1.4 วิเคราะห์วัตถุประสงค์
- กำหนดวัตถุประสงค์ทางด้านพุทธิพิสัย คือ พฤติกรรมเกี่ยวกับความรู้ ความเข้าใจ ด้านจิตพิสัย คือ พฤติกรรมเกี่ยวกับความรู้สึก ค่านิยมทัศนคติ และด้านทักษะพิสัย คือ พฤติกรรมเกี่ยวกับการกระทำหรือการปฏิบัติ
- ระดับชั้น อายุ ความรู้พื้นฐาน เพื่อให้ได้บทเรียนที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย
1.5 วิเคราะห์สภาพแวดล้อม
- อุปกรณ์สนับสนุนการเรียนรู้ของผู้เรียน เช่น เครื่องอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แม่ข่าย จำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ในสถาบัน ระบบจัดการสอน
- จำนวนผู้เรียนที่มีคอมพิวเตอร์อุปกรณ์คอมพิวเตอร์พกพา สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ความเร็ว
2. ออกแบบ
- การเขียนผังงาน การออกแบบ storyboard เพื่อจัดลำดับความสัมพันธ์ของเนื้อหาแต่ละส่วน บทดำเนินเรื่อง และการออกแบบบทเรียน ภาพ ข้อความ เสียง หรือมัลติมีเดีย กิจกรรมการเรียน การกำหนดปฏิสัมพันธ์การเรียน และการประเมินผล
- การนำตัวบทเรียนที่ผ่านการออกแบบและวิเคราะห์จากขั้นวิเคราะห์มาพัฒนาเป็นการเรียนอีเลิร์นนิง
- การออกแบบหน้าจอภาพ (screen design) การจัดพื้นที่และองค์ประกอบของจอภาพเพื่อใช้ในการนำเสนอเนื้อหา ภาพ กราฟิก เสียง สี ตัวอักษร และส่วนประกอบอื่น ๆ ให้เหมาะสมกับการเรียนรู้ของผู้เรียน
3. พัฒนา
ขั้นพัฒนาเป็นขั้นตอนของการลงมือปฏิบัติการสร้างบทเรียนตามผลการออกแบบจากขั้นตอนที่สอง ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ต้องอาศัยผู้มีความเชี่ยวชาญหลายด้าน เช่น นักออกแบบคอมพิวเตอร์กราฟิก นักคอมพิวเตอร์ผู้ดูแลและจัดการระบบการจัดการเรียนการสอน (LMS: learning management system) เช่น
1. ตัวอักษรของเนื้อหาข้อความภาษาไทยและภาษาอังกฤษควรใช้ตัวหัวกลม แบบธรรมดา หนึ่งหน้าจอควรมีเนื้อหาไม่เกิน 8 - 10 บรรทัดและควรใช้ลักษณะเหมือนกัน รูปแบบเดียวตลอดหนึ่งบทเรียน
2. ภาพกราฟิกควรใช้ภาพการ์ตูน ภาพวีดีทัศน์ ภาพล้อเสมือนจริงที่เป็นภาพเคลื่อนไหว 2 มิติ (animation) และ 3 มิติ (3 D animation) จำนวน 1 ถึง 3 ภาพภายในหนึ่งหน้าจอ และภาพพื้นหลัง (ถ้ามี) ควรใช้ภาพลายน้ำ สีจางลักษณะเดียวกันตลอดหนึ่งบทเรียน
3. สีที่ปรากฏในจอภาพและสีของตัวอักษร ข้อความไม่ควรใช้เกินจำนวน 3 สี โดยคำนึงถึงสีพื้นหลังประกอบด้วย
4. สื่อชั้นนำในการนำทาง (navigational aids) ควรเลือกใช้สัญรูป (icon) แบบปุ่มรูปภาพ แบบรูปลูกศรพร้อมทั้งอธิบายข้อความสั้น ๆ ประกอบสัญลักษณ์หรือแสดงข้อความ hypertext และใช้เมนูแบบปุ่ม (button) แบบ Pop Up ที่แสดงสัญลักษณ์สื่อความหมายได้เข้าใจชัดเจน
5. ปัจจัยสนับสนุนเพื่อให้ง่ายต่อการพัฒนาบทเรียน เช่น การเลือกใช้ระบบบริการจัดการเนื้อหา (CMS: content management system) แหล่งสนับสนุนการเรียนรู้ การใช้เครื่องมือสื่อสารปฏิสัมพันธ์
4. นำไปใช้
การนำเสนอการเรียนผ่านระบบบริหารจัดการเรียนการสอนเผยแพร่บนระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (network) และสู่การนำไปจัดการเรียนการสอนจริง
5. ประเมิน
การประเมินการวิเคราะห์ การประเมินการออกแบบ การประเมินการพัฒนา และการประเมินเมื่อนำไปใช้จริงของระบบอีเลิร์นนิง โดยกระทำระหว่างดำเนินการ คือการประเมินระหว่างดำเนินงาน (formative evaluation) และประเมินภายหลังการดำเนินงาน (summative evaluation) การประเมินจะทำให้ผู้พัฒนาทราบข้อมูลเพื่อการปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องในขั้นตอนต่าง ๆ การนำแบบจำลอง ADDIE เพื่อการออกแบบการเรียนการสอนอีเลิร์นนิงสู่การปฏิบัตินั้น นอกจากจะดำเนินการตามขั้นตอนตามแบบจำลองแล้ว การให้ความสำคัญขั้นตอนต่าง ๆ ในแบบจำลอง ADDIE นั้น ผู้เขียนเองแบ่งสัดส่วนที่ไม่เท่ากัน โดยให้ความสำคัญกับ 3 ลำดับแรก คือ การวิเคราะห์ การนำไปใช้ และการประเมิน ในสัดส่วนที่เท่ากันคือร้อยละ 33 ลำดับถัดมา คือการพัฒนาร้อยละ 23 และลำดับสุดท้าย คือการออกแบบร้อยละ 10
แบบจำลองการออกแบบการสอน ADDIE นี้ สามารถนำมาใช้เพื่อการออกแบบการเรียนการสอนแบบอีเลิร์นนิงโดยกว้าง ๆ ที่ผู้ประสงค์จะพัฒนาอีเลิร์นนิงสามารถใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา หรือไปขยายรายละเอียดในแต่ละขั้นตอนเพื่อการพัฒนาอีเลิร์นนิงตามหลักการที่ถูกต้องต่อไป
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บทบาทของผู้ออกแบบการเรียนการสอน
บทบาทของผู้ออกแบบการเรียนการสอน (Designer’s role) สามารถเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่นำเสนอว่าต้องอาศัยเทคนิค หรือไม่ต้องอาศัยเทคนิค และขึ้นอยู่กับส่วนประกอบของทีมการออกแบบ เนื้อหาที่ต้องใช้เทคนิคสูง ผู้ออกแบบจำเป็นต้องให้คำแนะนำในการออกแบบกับผู้ชำนาญการด้านเนื้อหา (Content Expert) ถ้าเรื้อหานั้นไม่ต้องเทคนิคที่สูงมากจนเกินไป ผู้ออกแบบก็สามารถจัดทำได้อย่างอิสระมากขึ้นด้วยความช่วยเหลือของผู้ชำนาญการด้านเนื้อหาผู้ออกแบบสามารถที่จะทำงานเป็นผู้ให้คำปรึกษาจากภายนอก และรับผิดชอบภาระงานทั้งหมดเหมือนกับเป็นคนในสำนักงาน (In-House Employers) ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากผู้ชำนาญการด้านเนื้อหา บทบาทของผู้ออกแบบสามารถมีได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ที่มีต่อผู้ชำนาญการด้านเนื้อหาวิชา คือ
1. ผู้ชำนาญการด้านเนื้อหาและมีสมรรถภาพในการออกแบบการเรียนการสอนและเทคโนโลยี และเป็นผู้ที่รู้บทบาทของการออกแบบด้วย
2. ผู้ออกแบบการเรียนการสอน ที่ได้รับการร้องขอให้ทำงานในด้านเนื้อหาที่อาจจะมีความคุ้นเคย แต่ผู้ออกแบบยังคง รู้สึกมีความจำเป็นที่จะทำงานกับผู้ชำนาญการด้านเนื้อหา
3. ผู้อกแบบอาจจะได้รับการร้องขอให้พัฒนาหรือวิจัยในด้านเนื้อหาที่ไม่มีความคุ้นเคย และดังนั้นจึงจำเป็นต้องเลือกและทำงานกับผู้เชี่ยนชาญด้านเนื้อหาจำนวนมาก
บทบาทของผู้ออกแบบการเรียนการสอน
บทบาทของผู้ออกแบบการเรียนการสอน (Designer’s role) สามารถเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่นำเสนอว่าต้องอาศัยเทคนิค หรือไม่ต้องอาศัยเทคนิค และขึ้นอยู่กับส่วนประกอบของทีมการออกแบบ เนื้อหาที่ต้องใช้เทคนิคสูง ผู้ออกแบบจำเป็นต้องให้คำแนะนำในการออกแบบกับผู้ชำนาญการด้านเนื้อหา (Content Expert) ถ้าเรื้อหานั้นไม่ต้องเทคนิคที่สูงมากจนเกินไป ผู้ออกแบบก็สามารถจัดทำได้อย่างอิสระมากขึ้นด้วยความช่วยเหลือของผู้ชำนาญการด้านเนื้อหาผู้ออกแบบสามารถที่จะทำงานเป็นผู้ให้คำปรึกษาจากภายนอก และรับผิดชอบภาระงานทั้งหมดเหมือนกับเป็นคนในสำนักงาน (In-House Employers) ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากผู้ชำนาญการด้านเนื้อหา บทบาทของผู้ออกแบบสามารถมีได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ที่มีต่อผู้ชำนาญการด้านเนื้อหาวิชา คือ
1. ผู้ชำนาญการด้านเนื้อหาและมีสมรรถภาพในการออกแบบการเรียนการสอนและเทคโนโลยี และเป็นผู้ที่รู้บทบาทของการออกแบบด้วย
2. ผู้ออกแบบการเรียนการสอน ที่ได้รับการร้องขอให้ทำงานในด้านเนื้อหาที่อาจจะมีความคุ้นเคย แต่ผู้ออกแบบยังคง รู้สึกมีความจำเป็นที่จะทำงานกับผู้ชำนาญการด้านเนื้อหา
3. ผู้อกแบบอาจจะได้รับการร้องขอให้พัฒนาหรือวิจัยในด้านเนื้อหาที่ไม่มีความคุ้นเคย และดังนั้นจึงจำเป็นต้องเลือกและทำงานกับผู้เชี่ยนชาญด้านเนื้อหาจำนวนมาก
ตารางที่ 1 เปรียบเทียบการเรียนการสอนแบบดั้งเดิมกับการเรียนการสอนเชิงระบบ
องค์ประกอบของการเรียนการสอน
|
การเรียนการสอน
แบบดั้งเดิม
|
การเรียนการสอน
เชิงระบบ
|
1. กำหนดเป้าจุดประสงค์
(Setting Goals)
|
*ตำราหลักสูตร ดั้งเดิมการอ้างอิงภายใน
|
*การประเมินความต้องการจำเป็น
*การวิเคราะห์งาน
*การอ้างอิงภายนอก
|
2. จุดประสงค์ (Objectives)
|
*กล่าวในรูปของผลที่ได้รับรวมๆ หรือการปฏิบัติของครู
*เหมือนกันสำหรับนักเรียนทุกคน
|
*จากการประเมินความต้องการจำเป็นการวิเคราะห์/การประเมินงาน
*เลือกด้วยการพิจารณาจากความสามารถของผู้เรียนเมื่อแรกเข้าเรียน
|
3. จุดประสงค์ในความรู้เฉพาะของผู้เรียน (Student’s Knowledge Of Objectives)
|
*ไม่ได้รับการบอกกล่าวล่วงหน้าต้องใช้สัญญาณจากการฟังคำบรรยายและการอ่านตำรา
|
*บอกกล่าวอย่างเฉพาะเจาะจงเป็นพิเศษล่วงหน้าก่อนเรียน
|
4. ความสามารถก่อนเข้าเรียน (Entering Capability)
|
*ไม่ต้องใส่ใจนักเรียนทุกคนมีจุดประสงค์และวัสดุอุปกรณ์/กิจกรรมเหมือนกันหมด
|
*การพิจารณา
*การกำหนดวัสดุอุปกรณ์/กิจกรรมแตกต่างกัน
|
5. ผลสัมฤทธิ์ที่คาดหวัง (Expected
Achievement)
|
*ใช้โค้งมาตรฐาน
|
*มีความเป็นแบบอย่างเดียวกันสูง
|
6. ความรอบรู้ (Mastery)
|
*นักเรียนส่วนน้อยรอบรู้จุดประสงค์ทั้งหมด
*รูปแบบผิดพลาด
|
*นักเรียนส่วนใหญ่รอบรู้จุดประสงค์ทั้งหมด
|
7. ค่าระดับและการเลื่อนระดับ (Grading And
Promotion)
|
*อยู่บนพื้นฐานการเปรียบเทียบกับนักเรียนคนอื่นๆ
|
*อยู่บนพื้นฐานการรอบรู้จุดประสงค์
|
8. การสอนเสริม (Remediation)
|
*บ่อยครั้งที่ไม่มีการวางแผน
*ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจุดประสงค์หรือวิธีการเรียนการสอน
|
*วางแผนสำหรับนักเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือแสวงหาจุดประสงค์อื่นๆ เลือกวิธีการเรียนการสอน
|
9. การใช้แบบทดสอบ
|
*กำหนดค่าระดับ
|
*เฝ้าระวังติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียน
*ตัดสินความรอบรู้
*วินิจฉัยความยากลำบาก
*ปรับปรุงการเรียนการสอน
|
10. เวลาศึกษากับความรอบรู้
(Stidy time VS
Mastery)
|
*เวลาคงที่ : ระดับของความรอบรู้หลากหลาย แตกต่างกัน
|
*ความรอบรู้คงที่ : เวลาหลากหลาย แตกต่างกัน
|
11. การตีความของความล้มเหลวที่จะไปให้ถึงความรู้ (Interpretation Of
Failure To Reach Mastery)
|
*นักเรียนผู้สงสาร
|
มีความต้องการจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงการเรียนการสอน
|
12. การพัฒนารายวิชา (Course Of
Development)
|
*เลือกวัสดุอุปกรณ์ก่อน
|
*ระบุจุดประสงค์ก่อนแล้วจึงจะเลือกวัสดุอุปกรณ์
|
13. ลำดับขั้นตอน (Sequence)
|
*อยู่บนพื้นฐานของเหตุผลและสังเขปหัวเรื่อง
|
*อยู่บนพื้นฐานของสิ่งที่ต้องรู้ก่อนตามความจำเป็น และหลักการของการเรียนรู้
|
14. การปรับปรุงการเรียนการสอนและวัสดุอุปกรณ์ (Revision Of
Instructional And Materials)
|
*อยู่บนพื้นฐานของการคาดเดางาน หรือความเพียงพอ
*วัสดุอุปกรณ์ใหม่
*เกิดขึ้นเป็นพักๆ
|
*อยู่บนพื้นฐานของการประเมินข้อมูล
*เกิดขึ้นเป็นประจำ
|
15. กลยุทธ์การเรียนการสอน (Instructional
Strategies)
|
*พอใจให้ผ่านได้อย่างกว้างๆ
*อยู่บนพื้นฐานของความชอบและความคล้ายคลึง
|
*เลือกที่จะให้ได้รับตามจุดประสงค์
*ใช้ยุทธวิธีที่หลากหลาย
*อยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีและการวิจัย
|
16. การประเมินผล
(Evaluation)
|
*บ่อยครั้งที่ไม่เกิดขึ้น : การวางแผนเชิงระบบมีน้อย
*ประเมินแบบอิงกลุ่มข้อมูลปัจจัยนำเข้า และกระบวนการ
|
*การวางแผนเป็นระบบ : เกิดขึ้นประจำ
*ประเมินความรอบรู้ตามจุดประสงค์
*ประเมินผลอิงเกณฑ์ข้อมูลได้จากผลที่ได้รับ (ผลผลิต)
|
ตารางที่ 2 งานและผลผลิตของกระบวนการออกแบบการเรียนการสอน
ขั้นตอนและภาระงาน
|
ตัวอย่างภาระงาน
|
ตัวอย่างผลผลิต
|
การวิเคราะห์-กระบวนการของการนิยามว่าต้องเรียนอะไร
|
*ประเมินความต้องการจำเป็น
*ระบุปัญหา
*วิเคราะห์ภาระงาน
|
*แฟ้มผู้เรียน
*การพรรณนาข้อจำกัด
*คำกล่าวของความต้องการจำเป็นและปัญหา
*การวิเคราะห์ภาระงาน
|
การออกแบบ-กระบวนการของการชี้เฉพาะว่าจะเรียนอย่างไร
|
*เขียนจุดประสงค์
*พัฒนารายการของแบบทดสอบ
*วางแผนการเรียนการสอน
*ระบุแหล่งทรัพยากร
|
*จุดแประสงค์ที่วัดได้ กลยุทธ์การเรียนการสอน
*ลักษณะเฉพาะของตัวแบบ (Prototype
Specification)
|
การพัฒนา-กระบวนการของหน้าที่และผลิตวัสดุอุปกรณ์
|
*ทำงานกับผู้ผลิต
*พัฒนาคู่มือ แผนภูมิ โปรแกรม
|
*สตอรี่บอร์ด (Story Board)
*สคริป
*แบบฝึกหัด
*คอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนการสอน
|
การนำไปใช้-กระบวนการของการก่อตั้งโครงการในบริษัทแห่งโลกความจริง
|
*การฝึกอบรมครู
*การทดลอง
|
*การให้ความเห็นของนักเรียนข้อมูล
|
การประเมินผล-กระบวนการของการตกลงใจเกี่ยวกับความเห็นผลของการเรียนการสอน
|
*บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับเวลา
*ผลการแปลความแบบทดสอบ
*สำรวจผู้สำเร็จการศึกษา
*ทบทวนกิจกรรม
|
*คำรับรอง (Recommendation)
*รายงานโครงงาน
*ทบทวนตัวแบบ
|
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
งานและผลผลิตสมรรถภาพของการออกแบบและการจัดการเรียนรู้
งานและผลิตผลของการออกแบบการเรียนการสอน
งานของผู้ปฏิบัติการออกแบบการเรียนการสอนอาจจะหลากหลายในความต้องการด้านความรู้ความชำนาญ ผลผลิตที่ได้และสถานการณ์ของงาน ผู้ปฏิบัติการออกแบบการเรียนการสอนอาจจะวิเคราะห์ภารังานภายใต้การนิเทศของผู้จัดการโครงการในองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและการพัฒนา ผู้จัดการโครงการอาจจะนำทีมซึ่งพัฒนาการประชุมเชิงปฏิบัติการสามวันสำหรับการอุตสาหกรรม (three-day workshop) การออกแบบไม่จำเป็นต้องเป็นทีมเสมอไปในองค์กรเล็กๆ อาจจะใช้ผู้ออกแบบเพียงคนเดียว ในการทำภาระการออกแบบการเรียนการสอน
งานออกแบบ
พิสัยของงาน (job) เป็นไปตามสถานการณ์ และระดับที่แตกต่างกันของผู้ชํานาญการ บางครั้งผู้ออกแบบการเรียนการสอนทําหน้าที่เหมือนเป็นผู้ชํานาญการในขั้นตอนหนึ่งของ กระบวนการ ในบางงานเรียกผู้ออกแบบว่าเป็นผู้ปฏิบัติที่มีสมรรถภาพในการดําเนินโครงการตั้งแต่ เริ่มต้นจนสิ้นสุด พิสัยของงานไม่เพียงแค่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ที่มีความเฉพาะเจาะจงเป็นพิเศษแต่บาง งานต้องการระดับความแตกต่างของผู้ชํานาญการ (expertise) ในตารางที่ 6 แสดงให้เห็นถึงระดับของ ผู้ชํานาญการในงานการออกแบบการเรียนการสอน
โดยปกติงานในโรงเรียนรวมถึงหน้าที่ในการออกแบบการเรียนการสอน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง ของตําแหน่งอื่นๆ เช่น ผู้นิเทศหลักสูตร (curriculum supervisor) ผู้ชํานาญการด้านสื่อ (media Specialist) นักเทคโนโลยีการเรียนการสอน (instructional technologist) เมื่อเปรียบเทียบกับ สถานการณ์อื่นๆ แล้ว ผลกระทบที่เกิดจากการออกแบบการเรียนการสอนอยู่ในระดับต่ํา
เหตุผลบางประการที่การออกแบบการเรียนการสอนให้ผลกระทบในระดับต่ํา คือ ครูยึดติด กับธรรมชาติดั้งเดิมของโรงเรียน ติดแน่นอยู่กับตารางกําหนดงานประจําวัน การพิจารณาให้ทุนกับ โรงเรียนมีน้อย การที่จะทําให้การออกแบบการเรียนการสอนมีความโดดเด่นขึ้นในสถานการณ์ภายใน โรงเรียนต้องมีการเปลี่ยนแปลงสามประการ คือ 1.ลดจํานวนเวลาที่ใช้โดยครูและนักเรียนในชั้นเรียน แบบดั้งเดิม (traditional classers) 2. ส่งเสริมการเรียนการสอนรายบุคคลในหลักสูตรให้มากขึ้น และ 3. ใช้ระบบการสอนที่สิ้นเปลืองงบประมาณน้อย (low cost) (Sees, and Glasgow, 1990 : 14)ผลิตผลของการออกแบบ
ไม่ว่าจะเป็นงานที่ตั้งสมมติฐานไว้ หรืองานในหน้าที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลาย ของผลิตผลก็ตาม จะมีขอบเขตที่แตกต่างและซับซ้อน งานการออกแบบการเรียนการสอนก็เช่นกัน ขอบเขตรวมถึงความแตกต่างของขนาดและเนื้อหาความซับซ้อนรวมถึงความแตกต่างของหลักสูตร หรือสื่อ ในระดับที่เล็กที่สุดของขอบเขต คือ แผนการสอน (lesson plans) และหน่วยหรือชุดโมดุล (modules) ระดับต่อไปรวมถึงรายวิชา (courses) และหน่วย (unit) รายวิชาหลักสูตรและสิ่งแวดล้อม เป็นตัวอย่างของผลิตผลที่มีขอบเขตกว้างใหญ่ ระดับสูงสุดของระดับความซับซ้อน คือ สื่อการเรียนรู้
ซึ่งมีปฏิกิริยาสัมพันธ์ซึ่งกันและกันโดยอาศัยสื่อทางโทรคมนาคม และคอมพิวเตอร์เข้าช่วย ระดับ ต่ําสุดของความซับซ้อน คือ กระดาษและดินสอน และสําหรับโสดทัศนวัสดุ เป็นระดับกลางของความซับซ้อน (Seels, and Glasgow, 1990 : 14)
ที่มา
หนังสือ วิชาการออกแบบและการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน. ผศ.ดร.พิจิตรา ธงพานิช. นครปฐม : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์, 2560.
หนังสือ วิชาการออกแบบและการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน. ผศ.ดร.พิจิตรา ธงพานิช. นครปฐม : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์, 2560.
http://www.trueplookpanya.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น