วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

สัปดาห์ที่ 11


การจัดการการเรียนรู้ตามแนวการปฏิรูปการศึกษา

โฉมหน้าการศึกษาของประเทศไทยในปัจจุบัน มุ่งไปสู่การให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้ซึ่งการเรียนรู้มิใช่เป็นเพียงการเรียนรู้เพื่อรู้เท่านั้น แต่เป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์ เรียนเพื่อรู้จักตนเอง เรียนเพื่อให้รู้จักอยู่ร่วมกับผู้อื่น เรียนเพื่อความเจริญงอกงามทั้งร่างกายและจิตใจ เรียนรู้เพื่อการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมหรือสถานการณ์ต่างๆได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ซึ่งถือว่าเป็นแกนหลักหอการปฏิรูป และเป็นหัวใจของการปฏิรูปการศึกษาดังที่ประเวศ วะสี (2541หน้า 68) กล่าวว่า การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้เป็นหัวใจของการปฏิรูปการศึกษาเพราะเป็นการปฏิรูปแนวคิดเกี่ยวกับการศึกษา จากเดิมที่การมองคนเป็นวัตถุที่ต้องหล่อหลอมตกแต่ง โดยการสั่งสอนอบรมไม่เป็นการมงคลในฐานะคนเป็นผู้มีศักยภาพในการเรียนรู้และงอกงามอย่างหลากหลายสำหรับประเทศไทยได้จัดการเรียนรู้ตามแนวการปฏิรูปการศึกษามาระยะหนึ่ง โดยพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ. ศ. 2542 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2)พ. ศ. 2545 เป็นแม่บทหรือหรือเทศทาง และนำลงสู่การปฏิบัติด้วยการกำหนดเนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้อง และสำคัญหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544 และพัฒนาเป็นหลักสูตรสถานศึกษาสำหรับสถานศึกษาแต่ละแห่งตามความเหมาะสมจากผลการจัดการเรียนรู้ตามแนวการปฏิรูปการศึกษานี้ พบว่า บางพื้นที่ยังมีปัญหาอยู่บ้าง ตัวอย่างเช่นผลการวิจัยของสำราญ ตติชรา (2547หน้า1) การศึกษาปัญหาการจัดการเรียนการสอนตามแนวปฏิรูปการศึกษาของครูในโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอเมืองตรา พบว่า การจัดการเรียนการสอนหรือการจัดการเรียนรู้ตามแนวปฏิรูปการศึกษา ขอครูในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอเมืองตราดยังมีปัญหาอยู่หลายประเด็นตามลำดับ คือ การประชาสัมพันธ์การสอน การจัดทำหลักสูตรท้องถิ่นการสอนที่เน้นกระบวนการคิดวิเคราะห์ การจัดสภาพแวดล้อมทางการสอน การให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอนด้านประเมินผลตามสภาพจริงการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญการทำวิจัยในชั้นเรียน การให้ผู้เรียนค้นคว้าด้วยตนเองและเมื่อ เปรียบเทียบปัญหาต่างๆในการจัดการเรียนรู้ปรากฏว่าผลของปัญหาไม่แตกต่างกัน ดังนั้นผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ตามแนวการปฏิรูปการศึกษาจำเป็นจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับพื้นฐานเรื่องนี้อย่างถ่องแท้จนสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. ความจำเป็นในการจัดการเรียนรู้ตามแนวการปฏิรูปการศึกษาสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2543หน้า 4-5) ที่ได้สรุปถึงความจำเป็นในการจัดการเรียนรู้หรือปฏิรูปการเรียนรู้ตามแนวปฏิรูปการศึกษาซึ่งสามารถสังเคราะห์ได้ดังนี้        

1. ปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพของคนไทยการปฏิรูปวัฒนธรรมการเรียนรู้ใหม่จะช่วยพัฒนาคนไทยให้เป็นคนที่มีความรู้คู่คุณธรรมตัวหลักในคุณค่าของตนเองผู้อื่นและสรรพสิ่งทั้งหลายรู้จักควบคุมตนเองให้อยู่ในคลองลองแห่งความดีงามรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเป็นคนมีเหตุผลยอมรับฟังความเห็นของผู้อื่น เคารพกติกาของสังคมมีความขยันซื่อสัตย์และเสียสละเพื่อส่วนรวมมีความสามารถในการใช้ศักยภาพของสมองได้ทั้งซิกซ้ายและซีกขวาอย่างได้สัดส่วนสมดุลกันคือความสามารถในด้านการใช้ภาษาสื่อสารการคำนวณการวิเคราะห์แบบวิทยาศาสตร์คิดเป็นระบบสามารถใช้สติ ปัญญาอย่างเฉลียวฉลาดลึกซึ้งเพื่อเรียนรู้ให้บรรลุความจริงความดีความงามของสรรพสิ่งเป็นคนที่มีสุขภาพกายดีมีวุฒิภาวะทางอารมณ์บุคลิกภาพ ร่าเริงแจ่มใสจิตใจอ่อนโยนและเกื้อกูลมีมนุษย์สัมพันธ์ดีเผชิญหน้าและแก้ปัญหาได้ดำรงชีวิตอย่างอิสระและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข        

2. ปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อเพิ่มพูนความเข้มแข็งของสังคมไทยให้สมาชิกของสังคมมีจิตสำนึกร่วมกันในการเผชิญสถานการณ์และแก้ปัญหาของส่วนรวมมีการบริหารอย่างถูกต้องแยบยลลดความขัดแย้งทุกคนมีความรับผิดชอบที่จะนำพาสังคมให้ก้าวหน้าและเข้มแข็ง        

3. ปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมและบริบทการเรียนรู้ในยุคโลกาภิวัตน์การจัดกระบวนการเรียนรู้ต้องจัดให้สอดคล้องกับโลกยุคโลกาภิวัตน์ที่วิทยาการเจริญรุดหน้าความรู้และสอบวิทยาการเดินทางไปในที่ต่างๆด้วยความรวดเร็วข้อมูลและข่าวสารต่างๆเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ผู้เรียนต้องมีความคล่องแคล่วไฟการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เช่นคอมพิวเตอร์อินเตอร์เน็ตและรู้จักสังเคราะห์ข้อมูลข่าวสารเหล่านี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์กับชีวิตของตนครอบครัวสังคมและประเทศชาติ        

4. ปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนการปฏิรูปการเรียนรู้จะเปิดโอกาสให้ครูผู้สอนพ่อแม่ผู้ปกครองและสังคมไทยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการดำเนินตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่สองพ.ศ. 2545 ต้นการเปิดแนวทางให้ครูพ่อแม่ผู้ปกครองและชุมชนมีอิสระในการอบรมเลี้ยงดูในการศึกษาจัดหลักสูตรอันจะเป็นการเกื้อหนุน ซึ่งกันและกัน        

5. ปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายการปฏิรูปการเรียนรู้เป็นหัวใจของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่สองพ.ศ. 2545 จึงเป็นภารกิจที่มีกฎหมาย

2. แนวทางการจัดการเรียนรู้ตามแนวการปฏิรูปการศึกษาการจัดการเรียนรู้ตามแนวการปฏิรูปการศึกษายึดหลักการตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ. ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ. ศ. 2545 ว่าการจัดการศึกษาต้องยึดผู้เรียนเป็นสำคัญและมุ่งประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียนซึ่งเป็นความหมายเดียวกันกับการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง คือ การยึดผู้เรียนเป็นหลักวิธีนี้ได้พัฒนาเป็นเวลานานมากกว่า 80 ปีแล้วปัจจุบันได้มีผู้นำเสนอแนวทางในการจัดการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญเป็นการจัดการเรียนรู้ที่จะทำให้ผู้เรียนไปสู่จุดหมายปลายทางที่พึงประสงค์ได้มี 2 วิธีคือ

1. การจัดการเรียนรู้โดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยผู้เรียนจะเป็นผู้ทำกิจกรรมเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองผู้สอนเป็นผู้อำนวยความสะดวกความรู้เป็นผลพลอยได้จากการทำกิจกรรม ระหว่างทำกิจกรรมเด็กผู้เรียนก็จะได้พัฒนาตนเองทางการคิด การปฏิบัติ การแก้ปัญหา การทำงานร่วมกัน การวางแผนการจัดการ และเทคนิควิธีการต่างๆ ที่เรียกว่า เรียนรู้วิธีการหาความรู้

2. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้เป็นกระบวนการ หมายถึง การมีขั้นตอนต่างๆให้ผู้เรียนได้แสดงออกหรือปฏิบัติโดยใช้ร่างกายความคิดการพูดเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ คือ ความรู้หลังจากทำกิจกรรมและมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมคุณสมบัติทางความรู้ความคิดทักษะความสามารถทางการปฏิบัติตลอดทางเกิดเจตนาคติ ค่านิยมที่ดีงามนอกจากนี้สำนักคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ 2543 ได้สรุปประเด็นสาระสำคัญของการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญไว้ดังนี้

ประเด็นที่ 1 การเรียนรู้โดยการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง หมายถึง การเรียนรู้ที่เป็นกระบวนการสร้างประสบการณ์และสิ่งต่างๆ ที่ให้ความหมายต่อตนเองจากการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม โดยใช้กระบวนการคิด และแสวงหาความรู้ควบคู่ไปกับการปฏิบัติจริง ให้ผู้ที่ค้นพบองค์ความรู้ และประสบการณ์ด้วยตนเองครูเป็นผู้อำนวยการเรียนรู้จัดบรรยากาศสิ่งแวดล้อมและแหล่งวิทยาการให้เอื้อต่อการสร้างแรงจูงใจให้เกิดการเรียนรู้

ประเด็นที่ 2 การเรียนรู้เรื่องของตนเองธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมายถึง การเรียนรู้เพื่อเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายและจิตใจของตนเอง การรับรู้และตระหนักในตนเองสามารถปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมให้สอดคล้องกับค่านิยมที่ดีงาม ยึดมั่นในคุณธรรม จริยธรรม มีความเพียรพยายามในการทำความดีอย่างไม่ย่อท้อ เสริมสร้างลักษณะนิสัยและสุนทรียภาพความดีงามในตนเอง  การเรียนรู้เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างสอดคล้องเหมาะสมกับสภาพสังคมได้ตระหนักถึงคุณค่าและพัฒนาคุณภาพธรรมชาติสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

ประเด็นที่ 3 การเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาทักษะการดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพมีลักษณะดังนี้

3.1 การเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาทักษะการดำรงชีวิต หมายถึง การเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนมีทักษะชีวิตที่สำคัญและจำเป็นดังต่อไปนี้การรู้จักคิด วิเคราะห์ วิจารณ์ มีความคิดสร้างสรรค์ มีความตระหนักรู้ในตนเอง มีความเห็นใจผู้อื่น มีความภูมิใจในตนเอง มีความรับผิดชอบต่อสังคมรู้จักการสร้างสัมพันธภาพและการสื่อสาร รู้จักตัดสินใจและแก้ปัญหา รู้จักการจัดการกับอารมณ์และความเครียด

3.2 การเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาทักษะการประกอบอาชีพ หมายถึง การเรียนรู้เพื่อค้นพบและใช้ศักยภาพของตนเพื่อเตรียมตัวประกอบอาชีพให้เหมาะสมกับตนเองรู้จักวิธีเลือกประกอบอาชีพที่สุจริตเหมาะสมสามารถพึ่งตนเองและเลี้ยงตนเองได้อย่างพอเพียงแก่อัตภาพ

ประเด็นที่ 4 การเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนากระบวนการคิดการแก้ปัญหาโดยเน้นประสบการณ์และการฝึกปฏิบัติ หมายถึง การใช้ทักษะการคิดเพื่อค้นหาคำตอบในสถานการณ์ต่างๆ โดยอาศัยประสบการณ์และการฝึกปฏิบัติจริงเพื่อให้สามารถเผชิญและผจญกับปัญหา และการจัดการกับภาวะต่างๆได้อย่างเหมาะสมเป็นประโยชน์ต่อตนเองและส่วนรวม

ประเด็นที่ 5 การเรียนรู้โดยผสมผสานความรู้ คุณธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ หมายถึง การเรียนรู้ที่มุ่งให้มีความรู้ในศาสตร์ต่างๆ ควบคู่กับการพัฒนาตนเองทางจิตใจบุคลิกภาพและลักษณะนิสัย

ประเด็นที่ 6 การเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาประชาธิปไตย หมายถึง การเรียนรู้ในเรื่องสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค และการปฏิบัติตามหน้าที่ของตน การเคารพในสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น โดยคำนึงถึงความคิดเห็นและผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก

ประเด็นที่ 7 การเรียนรู้เรื่องภูมิปัญญาและศิลปวัฒนธรรม หมายถึง การเรียนรู้เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจความตระหนักในคุณค่าของความรู้ต่างๆที่ได้คิดค้นและสั่งสมประสบการณ์โดยภูมิปัญญาไทยตลอดจนมีความรักชื่นชมและห่วงแขนในคุณค่าของศิลปวัฒนธรรมไทย สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตและสืบสานให้ยั่งยืนตลอดจนเชื่อมโยงสู่สากล

ประเด็นที่ 8 การวิจัยเพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้ หมายถึง การศึกษารวบรวมข้อมูลเพื่อนำมาวิเคราะห์สังเคราะห์สรุปผลเพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของสถานศึกษา

ประเด็นที่ 9 การเรียนรู้โดยความร่วมมือของครอบครัวชุมชน หมายถึง การที่ครอบครัวชุมชนสถานศึกษามีบทบาทร่วมกันในการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้อย่างเต็มตามศักยภาพ

ประเด็นที่ 10 การประเมินผลผู้เรียน หมายถึง กระบวนการพิจารณาตัดสินคุณภาพคุณลักษณะและพฤติกรรมของผู้เรียนว่าเป็นไปตามจุดประสงค์ของการเรียนรู้หรือไม่อย่างไรดังนั้นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีควรจะต้องเป็นการเรียนการสอนที่ดีซึ่งการเรียนการสอนที่ดี ควรมีลักษณะดังนี้

1.  ต้องคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล

2. ต้องยึดความต้องการของผู้เรียนเป็นหลัก

3. ต้องพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้เรียน

4. ต้องเป็นที่น่าสนใจไม่ทำให้ผู้เรียนรู้สึกเบื่อหน่าย

5. ต้องดำเนินไปด้วยความเมตตากรุณาต่อผู้เรียน

6. ต้องท้าทายให้ผู้เรียนอยากเรียนรู้

7. ต้องตระหนักถึงเวลาที่เหมาะสมที่ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้

8. ต้องสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยการปฏิบัติจริง

9. ต้องสนับสนุนและส่งเสริมการเรียนรู้

10. ต้องมีจุดมุ่งหมายของการสอน

11. ต้องสามารถเข้าใช้ผู้เรียน

12. ต้องคำนึงถึงภูมิหลังของผู้เรียน

13. ต้องมีวิธีการใดวิธีหนึ่งเท่านั้น

14. การเรียนการสอนที่ดีควรเป็นพลวัต (Dynamic)

15. ต้องสอนในสิ่งที่ไม่ไกลตัวผู้เรียนมากเกินไป

16. ต้องมีการวางแผนการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ

3. การปฏิรูปการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญคำว่าผู้เรียนเป็นสำคัญมาจากบทบัญญัติในมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ที่บัญญัติไว้ว่า การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุดกระบวนการจัดการศึกษา ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ  สำหรับการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญนี้เป็นการจัดหลักการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นบนพื้นฐานทฤษฎีการเรียนรู้หลายทฤษฎี เช่น พุทธปรัชญาจิตวิทยาสาขามนุษยนิยม (Humanistic Approach) ทฤษฎีการเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential Learning) เสื้อเกี่ยวกับเรื่องนี้มีนักคิดกล่าวไว้หลายท่าน( กลุ่มวิชาการ 2543หน้า 3-4) เช่น พระราชวรมณี (ประยูร ธมมจิตโต,2540หน้า 13) กล่าวว่าเด็กเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ครูต้องสร้างความใฝ่รู้ขึ้นในจิตใจของเด็กให้ได้คือให้มีธรรมฉันทะ คือความใฝ่รู้ และกัตตกัมยตา ฉันทะ คือ ความใฝ่ธรรม เด็กมีความสุขในการเรียนรู้ครูสร้างบรรยากาศในโรงเรียนให้เป็นสัปปริสสังเสวะ หมายความว่าครูเป็นกัลยาณมิตร คือ เพื่อนที่ดีมีเมตตาให้ความรักความอบอุ่นแก่ผู้เรียนครูอาจจะใช้วิธีการเสริมแรงทางบวกให้มากขึ้นจัดการเรียนการสอนโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยถือว่าผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ เพื่อจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้สอดคล้องกับความสนใจและความสามารถของผู้เรียนส่วนประเวศ วะสี (2541หน้า 1) มองในเชิงหลักการว่า การจัดการเรียนรู้ที่เอาชีวิตจริงของผู้เรียนเป็นตัวตั้ง เรียนรู้เพื่อสร้างปัญญาให้ตนเอง รู้จักตนเอง รู้จักโลก สามารถพึ่งตนเองได้ทั้งทางเศรษฐกิจ จิตใจ สังคม อยู่ร่วมกันอย่างมีดุลยภาพ เรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่อง มีความสุข สนุกสนาน และเกิดฉันทะในการเรียนรู้สำหรับสุมน อมรวิวัฒน์ (2547หน้า 12) มีแนวคิดว่า การเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีอิสรภาพได้รับการพัฒนาเต็มศักยภาพของความเป็นมนุษย์เรียนรู้อย่างมีความสุข เน้นกระบวนการคิด ปฏิบัติได้จริง สอดคล้องกับความถนัด สอดคล้องกับคติ สอนให้ทำ นำให้คิด ลงมือทำ เรียนรู้สอนตนเองเอาความจริงเป็นตัวตั้งเอาวิชาเป็นตัวประกอบแต่โกวิท ประวาลพฤกษ์ (2545หน้า 8) มีแนวคิดสู่ปฏิบัติการให้เกิดจริงว่าการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญที่สุด ภายหลังจากการเรียนรู้ต้องการให้ผู้เรียนมีแนวคิดบางอย่างและลงมือปฏิบัติได้ถูกต้องแม่นยำ ด้วยความรู้สึกชื่นชมยินดี อันเป็นการสร้างบุคลิกภาพที่ดี คุณธรรมและพัฒนาการรอบด้านของผู้เรียน ถ้าการศึกษาจัดได้ครบถ้วนด้วยกระบวนการดังกล่าว มาแล้ว ผู้เรียนก็จะเป็นผู้คิดเองได้ ตัดสินใจเองได้ ลงมือปฏิบัติควบคุมตนเองได้ มีศักยภาพในการตัดสินใจ และทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมเป็นประจำ คิดและทำเพื่อประโยชน์ของสังคมไทยโดยส่วนรวมกันเป็นค่านิยมที่พึงประสงค์ของชาติสืบไปทิศนา แขมมณี (2548หน้า 32) มีแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง หมายถึง การเรียนการสอนที่ผู้เรียนมีบทบาทสำคัญที่สุด กล่าวคือ ผู้เรียนเป็นผู้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ ทั้งทางร่างกาย ปัญญา สังคมและอารมณ์ ได้มีโอกาสแสวงหาความรู้ ข้อมูลคิดวิเคราะห์ และสร้างความหมายความเข้าใจในสาระในกระบวนการต่างๆด้วยตนเองรวมทั้งด้านลงมือปฏิบัติและนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันจากแนวคิดของผู้ทรงคุณวุฒิดังกล่าว สามารถสรุปเป็นความหมายเชิงปรัชญาและเชิงปฏิบัติการได้ดังนี้1. การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนสำคัญที่สุดหรือผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เป็นการจัดการเรียนรู้ที่เอาชีวิตจริงและเงื่อนไขการรับรู้ของผู้เรียนเป็นตัวตั้ง ผู้เรียนมีอิสระภาพได้รับการส่งเสริมให้พัฒนาเต็มศักยภาพของความเป็นมนุษย์ทั้งจิตใจ ร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม ผู้เรียนได้รับการพัฒนาแบบองค์รวมได้รับการฝึกให้มีศักยภาพในการสร้างรูปแบบคิดผู้เรียนเป็นผู้กระทำกิจกรรมการเรียนรู้ได้ถูกต้องแม่นยำด้วยความรู้สึกที่ดีงามอันเป็นการสร้างบุคลิกที่ดีงาม เรียนรู้วิธีการเรียนรู้ จากการปฏิบัติของตนเอง คิดอย่างมีระบบและมีวิจารณญาณอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างมีความสุขเรียนรู้ตลอดชีวิตและเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้2. เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการปฏิบัติจริง ได้พัฒนากระบวนการคิด วิเคราะห์ ศึกษาค้นคว้า ทดลอง และแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ตามความถนัดความสนใจด้วยวิธีการ กระบวนการและใช้แหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลาย ทั้งในและนอกห้องเรียน ผู้เรียนมีผลการเรียนรู้ได้มาตรฐานตามที่หลักสูตรกำหนด มีความรู้ชื่นชมยินดีในผลการปฏิบัติของตน สามารถนำความรู้และประสบการณ์ไปพัฒนาคุณภาพชีวิตของตน สังคมและส่วนรวม3. เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ผู้จัดหรือครูผู้สอนดำเนินการให้สอดคล้องกับผู้เรียนตามความแตกต่างระหว่างบุคคล ความสามารถทางปัญญา วิธีการเรียนรู้โดยบูรณาการคุณธรรม ค่านิยม อันพึงประสงค์บางแผนการจัดกิจกรรม และประสบการณ์การเรียนรู้อย่างเป็นระบบให้ผู้เรียนได้พัฒนาสติปัญญา อารมณ์ และทักษะการปฏิบัติส่งเสริมสนับสนุนการนำความรู้ไปใช้ให้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในสถานศึกษา ให้พัฒนา กระบวนการเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมให้ครูผู้สอนทำวิจัยในชั้นเรียน เพื่อพัฒนาการเรียนให้เหมาะสมกับผู้เรียนและสนับสนุนด้านทรัพยากรการลงทุน เพื่อศึกษาพร้อมทั้งดูแลตรวจสอบกระบวนการจัดการศึกษาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตจากข้อสรุปและแนวคิดของผู้ทรงคุณวุฒิต่างๆข้างต้น ในขณะนี้ทุกหน่วยงานทั้งในและนอกกระทรวงศึกษาธิการได้ตระหนักในความสำคัญของการปฏิรูปการเรียนรู้จึงได้พัฒนาแนวทางการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญอย่างหลากหลาย และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน อาทิ หน่วยงานต่างๆดังต่อไปนี้            

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (2545หน้า 8-10) ได้สรุปการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ ไว้ดังนี้

1.การจัดการศึกษาต้องเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและประสบการณ์การเรียนรู้ยึดหลักดังนี้                

1.1 ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ดังนั้นจึงต้องจัดสภาพแวดล้อมบรรยากาศรวมทั้งแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ให้หลากหลายเพื่อเอื้อต่อความสามารถของแต่ละบุคคล เพื่อให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติที่สอดคล้องกับความถนัดและความสนใจเหมาะสมแก่วัย และศักยภาพของผู้เรียน เพื่อให้การเยนรู้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานที่และเป็นการเรียนรู้กันและกัน อันก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เพื่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนาตนเอง ชุมชน สังคม และประเทศชาติ โดยการประสานความร่วมมือระหว่างสถานศึกษากับผู้ปกครอง บุคคล ชุมชน และทุกส่วนของสังคม

1.2 ผู้เรียนมีความสำคัญที่สุดเรียนการสอนมุ่งเน้นประโยชน์ของผู้เรียนเป็นสำคัญ ซึ่งจัดให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง เพื่อให้เกิดการใฝ่เรียนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต

2. ผู้ปลูกฝังและสร้างลักษณะที่พึงประสงค์ให้กับผู้เรียน โดยนัยความรู้คุณธรรมค่านิยมที่ดีงาม และบูรณาการความรู้ในเรื่องต่างๆอย่างสมดุลรวมทั้งการฝึกทักษะกระบวนการคิดการจัดการอย่างมีวิจารณญาณการเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ใช้ความรู้โดยให้ผู้เรียนมีความรู้และประสบการณ์ในเรื่องต่างๆดังนี้

2.1 ความรู้เรื่องเกี่ยวกับตนเองและความสัมพันธ์ของตนเองกับสังคม ได้แก่ ครอบครัวชุมชน ชาติ และ สังคมโลก ร่วมแห่งความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสังคมไทยและระบบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

2.2 ความรู้และทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งความรู้ ความเข้าใจและประสบการณ์ เรื่องการจัดการบำรุงรักษาและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลยั่งยืน

2.3 ความรู้เกี่ยวกับศาสนา ศิลปวัฒนธรรม การกีฬา ภูมิปัญญาไทยและการรู้จักประยุกต์ใช้ภูมิปัญญา

2.4 ความรู้และทักษะด้านคณิตศาสตร์และด้านภาษาเน้นการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง

2.5 ความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพในการดำรงชีวิตอย่างมีความสุข

3.  กระบวนการเรียนรู้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ. ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ. ศ. 2545 ได้กำหนดแนวทางในการจัดกระบวนการเรียนรู้ของสถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังนี้

3.1 จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล

3.2 ให้มีการฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา

3.3 จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงฝึกการปฏิบัติให้ทำได้คิดเป็นทำเป็นรักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง

3.4 จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานความรู้ต่างๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกันรวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงาม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา

3.5 ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อมสื่อการสอนและอำนวยความสะดวก เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้

3.6 ผู้เรียนและผู้สอนเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่างๆ

3.7 การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานที่มีการประสานความร่วมมือกับบิดามารดาผู้ปกครองและบุคคลในชุมชนทุกฝ่ายเพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพสำนักงานการศึกษากรุงเทพมหานคร(อ้างในสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ2543หน้า 36-37) ได้ระบุถึงการจัดการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญและมุ่งพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนให้เป็นคนเก่งคนดีและมีความสุขโดยมีกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนทั้งหมด 11 กิจกรรมคือ

1. กิจกรรมเสริมสร้างศักยภาพผู้เรียนด้านมนุษย์สัมพันธ์

2. กิจกรรมเสริมสร้างศักยภาพผู้เรียนด้านวิทยาศาสตร์และมิติสัมพันธ์

3. กิจกรรมเสริมสร้างศักยภาพผู้เรียนด้านเหตุผลคณิตศาสตร์

4. กิจกรรมเสริมสร้างศักยภาพผู้เรียนด้านภาษา

5. กิจกรรมเสริมสร้างศักยภาพผู้เรียนด้านดนตรี

6. กิจกรรมเสริมสร้างศักยภาพผู้เรียนด้านศิลปะ

7. กิจกรรมเสริมสร้างศักยภาพผู้เรียนด้านพลศึกษา

8. กิจกรรมเสริมสร้างศักยภาพผู้เรียนด้านสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน

9. กิจกรรมศูนย์เพื่อนเด็กจิตวิทยาแนะนำและสภาพแวดล้อมในโรงเรียน

10. กิจกรรมศูนย์วิทยาการเป็นแหล่งเรียนรู้ด้วยตนเองของผู้เรียน11.กิจกรรมการวัดและประเมินผลที่เสริมสร้างศักยภาพผู้เรียนสำนักคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ 2543 หน้า 31-32 ในฐานะหน่วยปฏิบัติที่ดูแลการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานตั้งแต่ระดับปฐมวัยประถมศึกษาได้กำหนดแนวทางการจัดการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญที่สุดเพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนเป็นคนเก่งคนดีมีความสุขโดยใช้กระบวนการเรียนรู้ 5 ลักษณะคือ

1.  การเรียนรู้อย่างมีความสุขเป็นสภาพการจัดการเรียนการสอนในบรรยากาศที่ผ่อนคลายมีอิสระยอมรับความแตกต่างของบุคคลมีหลากหลายในวิธีการเรียนรู้

2. การเรียนรู้แบบองค์รวมเป็นการเรียนรู้สิ่งต่างๆอย่างสัมพันธ์เชื่อมโยงต่อเนื่องกลมกลืนกันทั้งในเรื่องใกล้ตัวในท้องถิ่นสิ่งแวดล้อมที่อาศัยอยู่ เรื่องของสากลการเปลี่ยนแปลง และแนวโน้มต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมโลก

3. การเรียนรู้จากการเกิดและการปฏิบัติเป็นการจัดการเรียนให้ได้ฝึกคิดและปฏิบัติจริงโดยศึกษาประสบการณ์ตรงจากแหล่งเรียนรู้ สื่อ เหตุการณ์ และสิ่งแวดล้อมรอบตัวต่างๆ และสรุปเป็นองค์ความรู้แก่ตนเอง

4. การเรียนรู้ร่วมกับ บุคคลอื่น เป็นกระบวนการเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์กัน โดยการถ่ายทอดในแลกเปลี่ยนความรู้ วัฒนธรรม อารมณ์ และสังคมร่วมกัน ทำให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเกิดการเรียนรู้ที่หลากหลาย

5. การเรียนรู้กระบวนการเรียนรู้ของตนเองเป็นการรับรู้ลีลาการเรียนรู้และความถนัดของตนเองเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนวิเคราะห์ประเมินจุดดีจุดด้อยและปรับปรุงกระบวนการการเรียนรู้ของตนเองเพื่อนำไปสู่การปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ให้เหมาะสมจากแนวคิดและหลักการของการปฏิรูปการเรียนรู้ที่ผู้เรียนเป็นสำคัญที่นำเสนอในข้างต้นสามารถนำมาเป็นกรอบในการออกแบบวิธีการจัดการเรียนรู้หรือวิธีสอนตามแนวปฏิรูปการศึกษาได้หลากหลายวิธีได้แก่

1.วิธีสอนแบบโครงงาน

2. วิธีสอนแบบ 4 Mat

3. วิธีสอนแบบร่วมมือ

4. วิธีสอนแบบซิปปา

5. วิธีสอนแบบบูรณาการ

6. วิธีสอนแบบใช้เส้นเล่าเรื่อง

7. วิธีสอนแบบปุจฉาวิสัชนา

8. วิธีสอนแบบโครงสร้างความรู้

4. วิธีสอนตามแนวปฏิรูปการศึกษาวิธีการสอนในปัจจุบันตามแนวปฏิรูปการศึกษา ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติและฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) เรียกว่าวิธีการจัดการเรียนรู้ซึ่งในมาตรา 22 ระบุว่าการจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้  โดยมีหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ. ศ. 2551 เป็นกรอบหรือทิศทางมุ่งให้แสวงหาวิธีการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งให้เกิดความสมดุลทั้งด้านปัญญาความคิดและด้านอารมณ์ ด้วยความสามารถทางปัญญาและความคิดให้แก่ ความคิดสร้างสรรค์และความคิดวิจารณญาณ วนความสามารถทางอารมณ์

การสอนแบบโครงงาน Project Design
เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่มุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ค้นหาความสามารถความถนัดและความสนใจของตนเองในด้านต่างๆมาจากแนวคิดพื้นฐานของการเรียนรู้โดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Child Center) และการเรียนรู้ตามสภาพจริงโดยมีการศึกษาหลักการ และวิธีเกี่ยวกับโครงงานที่เลือกศึกษาวิเคราะห์วางแผนการทำงานลงมือทำงานและปรับปรุงเพื่อให้งานบรรลุตามวัตถุประสงค์ในกระบวนการเรียนการสอนได้ใช้ทักษะกระบวนการ สอดแทรกคุณธรรม ทำงานเป็นกลุ่มฝึกปฏิบัติจริงเน้นผู้เรียนมีส่วนร่วมมีครูเป็นผู้ชี้แนะ ให้คำปรึกษาตลอดเวลาเน้นฝึกคนให้แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง

ประโยชน์ของการจัดทำโครงงาน

1. ทำงานตามความถนัดความสนใจของตนเอง

2. ฝึกทักษะกระบวนการทำงานด้วยตนเองหรือร่วมกันทำงานเป็นกลุ่ม

3. สามารถวางแผนการทำงานเป็นระบบ

4. พัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์

5. ศึกษาค้นคว้าและแก้ไขปัญหาจากการทำงาน

6. เป็นสิ่งยืนยันว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ในโครงงานที่ทำจริง ในกรณีที่ต้องนำแสดงต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง

ความหมายของโครงงานโครงงานหมายถึงการกำหนดรูปแบบในการทำงานอย่างเป็นระเบียบ มีกระบวนการทำงานที่ชัดเจนเพื่อให้สามารถผลิตชิ้นงานผลงานที่สัมพันธ์กับหลักสูตร และนำไปใช้ประโยชน์กับชีวิตจริงประเภทของโครงงานแบ่งออกเป็น 4 ประเภทคือ

1. ประเภทการศึกษาทดลองเป็นการศึกษาเปรียบเทียบหรือพิสูจน์ความจริงตามหลักวิชาการอย่างเป็นเหตุเป็นผลหรือค้นคว้าหาข้อเท็จจริงในสิ่งที่ต้องการรู้เช่นแสงมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชอาหารพื้นบ้านกับการเจริญเติบโตของไก่

2. ประเภทสำรวจข้อมูลเป็นการสำรวจรวบรวมข้อมูลและนำข้อมูลนั้นนำมาจำแนกเป็นหมวดหมู่และนำเสนอในรูปแบบต่างๆเพื่อนำไปใช้ในการวางแผนหรือพัฒนางานหรือปรับปรุงงานเช่นการสำรวจการขาดสารไอโอดีนในชุมชนการสำรวจการเรียนต่อของเยาวชนอำเภอสำโรงทาบในปี 2542

3. ประเภทสิ่งประดิษฐ์เป็นการผลิตชิ้นงานใหม่และศึกษาคุณภาพประสิทธิภาพประโยชน์คุณค่าของชิ้นงานนั้นๆเช่นเครื่องฟักไข่ระบบน้ำหยดเพื่อการเกษตรโดยใช้กระป๋องน้ำมันเครื่อง

4.ประเภทพัฒนาผลงานเป็นการค้นคว้าหลุดพัฒนาชิ้นงานทำให้สามารถใช้ประโยชน์ได้มากขึ้นหรือมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เช่นการประดิษฐ์อุปกรณ์นับจำนวนด้วยพลังงานแสงอาทิตย์

บทบาทของผู้เรียนการสอนแบบโครงงาน Project Design

1. โครงงาน

2. ศึกษาข้อมูล

3. วิเคราะห์ข้อมูล

4. ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

5.เขียนโครงงานวางแผนการทำงาน

6. ปฏิบัติตามโครงงาน

7. ประเมินผลโครงงาน   

วิธีการสอนแบบ 4 Mat

เป็นนวัตกรรมการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับแนวคิดในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางรวมทั้งการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนให้เป็นคนดีมีปัญญารวมทั้งมีความสุขแนวคิดนี้มาจาก เบอร์นิส  แมคคาร์ธี ซึ่งได้นำผลการสังเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวกับรูปแบบการเรียนรู้ของผู้เรียน และผลการศึกษาด้านพัฒนาสมอง 2 ซีกได้แก่ความสามารถของสมองซีกซ้าย คือการคิดสังเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ การใช้สามัญสำนึก การคิดแบบหลากหลายและ ความสามารถของสมองซีกซ้าย คือ การคิดวิเคราะห์ การคิดหาเหตุผล การคิดแบบปรนัย การคิดแบบมีทิศทาง การตอบสนองการพัฒนาศักยภาพทุกด้านของผู้เรียนที่มีรูปแบบและลักษณะการเรียนรู้แตกต่างกัน ดังนี้ (ชูชาติ เชิงฉลาด2546หน้า 232)

ขั้นที่ 1 การนำเสนอประสบการณ์ที่มีความสัมพันธ์ของผู้เรียน เป็น 2 ขั้นย่อย ดังนี้

1.1 การเสริมสร้างประสบการณ์

1.2 การวิเคราะห์ประสบการณ์ที่ได้

ขั้นที่ 2 การเสนอเนื้อหาสาระข้อมูลแก่ผู้เรียนสามารถแบ่งเป็น 2 ขั้นย่อยดังนี้

2.1 การบูรณาการประสบการณ์สร้างความคิดรวบยอด

2.2 การพัฒนาเป็นความคิดรวบยอด

ขั้นที่ 3 การฝึกปฏิบัติเพื่อพัฒนาความคิดรวบยอดแบ่งเป็น 2 ขั้นตอนย่อยดังนี้

3.1 การปฏิบัติงานตามขั้นตอน

3.2 การนำเสนอผลการปฏิบัติ

ขั้นที่ 4 การนำความคิดรวบยอดไปสู่การประยุกต์ใช้แบ่งเป็น 2 ขั้นย่อยดังนี้

4.1 การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้หรือการพัฒนางาน

4.2 การนำเสนอผลงานหรือการเผยแพร่    

วิธีการสอนแบบร่วมมือ cooperative Learning

สเปนเซอร์คาเกน นักศึกษาชาวสหรัฐอเมริกา ได้ทำการวิจัยและพัฒนารูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ (coorative Learning) อย่างจริงจังมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1985 ได้เผยแพร่ผลงานอย่างกว้างขวางในสหรัฐอเมริกาและในหลายประเทศในแถบเอเชีย  โดยมีการนำมาใช้ในการเรียนการสอนต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ และได้นำเสนอแนวคิดหลักที่จะนำไปสู่การเรียนรู้แบบร่วมมืออย่างมีประสิทธิผลไว้ 6 ประการดังนี้

1. การจัดกลุ่ม( TEAMS) หมายถึงการจัดกลุ่มผู้เรียนที่จะเข้าร่วมกิจกรรมด้วยกันเพื่อให้เกิดประสิทธิผลมากที่สุดซึ่งควรจัดผู้เรียนเข้ากลุ่มไว้ดังนี้

1. จำนวนผู้เรียนในกลุ่ม 4

2. ประกอบด้วยผู้เรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงปานกลางและต่ำคละกันไป

3. จัดให้มีผู้เรียนทั้งชายและหญิงในกลุ่มเดียวกัน

4. จัดให้มีผู้เรียนอยู่ในกลุ่มเดียวกันประมาณ 6 สัปดาห์

5. บางกรณีอาจจัดกลุ่มโดยวิธีอื่นเช่นจัดกลุ่มผู้เรียนที่มีความสนใจเหมือนเหมือนกันในเรื่องเดียวกันในการศึกษาเฉพาะกรณีเช่นการทำโครงงานวิทยาศาสตร์หรือจัดกลุ่มและแบบสุ่มเมื่อต้องการทบทวนความรู้

2. ความมุ่งมั่น (will) หมายถึง ความมุ่งมั่นและอุดมการณ์ของผู้เรียนที่จะทำงานร่วมกันซึ่งจะต้องมีความมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้ และมีความกระตือรือร้นในการทำกิจกรรมต่างๆร่วมกัน เพื่อให้เกิดประสิทธิผลร่วมกัน สามารถสร้างความมุ่งมั่นร่วมกันให้เกิดขึ้นได้โดยใช้กิจกรรมอื่นๆที่ไม่ใช่กิจกรรมทางวิชาการ เช่นการเล่นเกม การสัมภาษณ์โดยวิธีการต่อไปนี้

2.1 การสร้างความมุ่งมั่นของกลุ่มที่จะทำงานร่วมกัน

2.2 การสร้างความมุ่งมั่นของฉันเรียน

2.3 การทำงานร่วมกันโดยเลือกกิจกรรมที่คนเดียวไม่สามารถทำได้สำเร็จ

3. การจัดการ (Management) หมายถึง การจัดการกลุ่มให้สามารถทำกิจกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวมถึงการจัดการของผู้เรียน เพื่อให้การทำกิจกรรมของกลุ่มประสบความสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน

3.1 การจัดที่นั่งของนักเรียนในกลุ่ม

3.2 การแบ่งงานกันภายในกลุ่ม

3.3 การสร้างกฎของห้อง (Class rule)

3.4 การให้สัญญาณเงียบ (quiet signal)

3.5 การดูแลกลุ่มไม่ให้วุ่นวายกับกลุ่มเพื่อน

4. ทักษะทางสังคม (Social Skills) หมายถึง การพัฒนาให้เด็กมีทักษะในการทำงานทำกิจกรรมร่วมมือกันให้มีการร่วมมือช่วยเหลือกันอย่างถึงใจ

5. กฎพื้นฐาน 4 ข้อ (Basic principles: Ples) หมายถึง หลักการพื้นฐานของการเรียนรู้แบบร่วมใจกัน ซึ่งจะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญ 4 ประการอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้

5.1 การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

5.2 การยอมรับความสามารถซึ่งกันและกัน

5.3 ความเสมอภาค

5.4การ มีปฏิสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง

6. รูปแบบของกิจกรรม (Structures) หมายถึง แบบของกิจกรรมในการทำงานกลุ่ม หลากหลาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาหรือสถานการณ์ที่จะศึกษา   

วิธีสอนแบบซิปปา (Cippa model)
เป็นวิธีสอนหรือการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งเน้น ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้มีองค์ประกอบสำคัญ 5 ประการคือ (ชูชาติ เชิงฉลาด2546หน้า 229)

1. C Construct หมายถึง การสร้างความรู้ตามแนวคิดการสร้างสรรค์ความรู้ ( Constructivism)

2. I Interaction หมายถึง การปฏิสัมพันธ์กับบุคคลและสิ่งแวดล้อมรอบตัว

3. P physical participation หมายถึง การมีส่วนร่วมทางกาย

4. P process Learning หมายถึง การเรียนรู้กระบวนการต่างๆที่เน้นทักษะต่อการดำรงชีวิต

5. A  Application หมายถึง การนำความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่างๆการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแบบซิปปามีองค์ประกอบสำคัญ 5 ประการดังกล่าวแล้วครูผู้สอนสามารถเลือกรูปแบบวิธีการจัดการเรียนรู้หรือกิจกรรมใดก็ได้ที่สามารถจัดกิจกรรมใดก่อนหลังได้โดยไม่ต้องเรียงลำดับ   

วิธีสอนแบบบูรณาการวิธีสอนแบบบูรณาการเป็นการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยเชื่อมโยงระหว่างประสบการณ์เดิมและประสบการณ์ใหม่และเป็นประสบการณ์ตรงที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ในวิทยาการหลากหลายแขนงในลักษณะสหวิทยาการ  โดยใช้กระบวนการเรียนรู้  กระบวนการคิด กระบวนการแก้ปัญหา และกระบวนการแสวงหาความรู้ ที่เชื่อมโยงทั้งหลักสูตรและวิธีการจัดการเรียนรู้ ตลอดจนแนวคิดของผู้เรียนเพื่อให้เกิดความรู้แบบองค์รวมเพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันวิธีการสอนแบบบูรณาการ มีขั้นตอนในการสอนดังต่อไปนี้ (ชาตรี เกิดธรรม2546หน้า 99)

1. กำหนดหัวข้อสาระการเรียนรู้

2. กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้

3. กำหนดเนื้อหาของเรื่อง

4.กำหนดขอบเขตการเรียนรู้

5. ดำเนินกิจกรรม

6. ประเมินผล    

วิธีการสอนแบบเล่าเรื่อง คำว่าวิธีการสอนแบบเล่าเรื่อง ตรงกับภาษาอังกฤษว่า story line นำมาใช้กับภาษาไทยว่าเล่าเรื่องดำเนินเรื่องเรื่องราวโครงเรื่องวิธีสอนวิธีหนึ่งที่จะจัดเนื้อหาสาระของแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้มาบูรณาการกัน โดยใช้กลุ่มสาระการเรียนรู้ใดกลุ่มสาระการเรียนรู้หนึ่ง เป็นแกนเรื่องส่วนมากจะยึดเนื้อหาสาระสังคมศึกษา หรือ วิทยาศาสตร์ หรือสุขศึกษาเป็นแกรมเรื่องแล้วนำกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆในหลักสูตรมาบูรณาการทางภาษาไทยศิลปะคณิตศาสตร์การจัดการเรียนรู้แบบนี้จะเป็นการสมมติเรื่องราวหรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้สอดคล้องกับเนื้อหาสาระที่จะเรียนรู้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการจัดการเรียนรู้โดยใช้เล่าเรื่องมีหลักการจัดการเรียนรู้ดังนี้

1. การสร้างหน่วย การเรียนโดยใช้กลุ่มสาระการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้หนึ่งเป็นแกนเรื่องและกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นนำบูรณาการด้วยการสร้างแผนผังสาระการเรียนรู้กิจกรรมก่อนเป็นผู้สอนจะต้องกำหนดชื่อเรื่องหัวเรื่องที่จะจัดการเรียนรู้ในกำหนดหัวข้อย่อยโดยบูรณาการเนื้อหาสาระกิจกรรมแล้วกำหนดผลการเรียนรู้ที่คาดหวังให้ชัดเจน

2. สร้างสถานการณ์หรือเรื่องราวจากหน่วยการเรียนรู้ ผู้สอนจะต้องสมมุติสถานการณ์หรือเรื่องราวขึ้นซึ่งต้องมีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ ฉาก ตัวละคร วิถีชีวิต เหตุการณ์ และสถานการณ์ที่สนองต่อผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง

3. การจัดการเรียนรู้ตั้งจัดทำเส้นทางการดำเนินเรื่องคำถาม นำกิจกรรมสื่อการเรียนรู้และลักษณะการเรียงโดยทำเป็นแผนการเรียนรู้

4. การสอนตามแผนการเรียนรู้จะแบ่งเวลาการเรียนตามเส้นทางการดำเนินเรื่อง ในตารางแผนการเรียนรู้อาจกำหนดเวลาเรียนแต่ละเส้นทางการดำเนินเรื่องซึ่งอาจใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง

วิธีสอนแบบปุจฉาวิสัชนา วิธีการสอนแบบปุจฉาวิสัชนาเป็นการเรียนรู้แบบถามต่อเพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักคิดและรู้จักหาคำตอบด้วยตนเอง การตั้งคำถามผู้ตั้งคำถามจะต้องใช้ความคิดในการตั้งคำถาม ขณะเดียวกันผู้ตั้งคำถามจะต้องมีคำตอบอยู่ในใจ การสอนแบบนี้ในการเรียนรู้จึงส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ คิดวิเคราะห์ วิจารณ์และผู้เรียนรู้เกี่ยวกับภาษาในการสื่อสารวิธีการสอนแบบปุจฉาวิสัชนาจะใช้ในการเรียนรู้ได้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ (ชูชาติ เชิงฉลาด2546หน้า 251)

ขั้นตอนการสอนแบบปุจฉาวิสัชนามี 6 ขั้นตอนดังนี้

ขั้นที่ 1 แนะนำรูปแบบการเตรียมผู้สอนกับผู้เรียน จะกำหนดหัวข้อการเรียนและจุดประสงค์การเรียนรู้หรือผลการเรียนรู้ที่คาดหวังและขั้นตอนการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนกำหนดหัวข้อของการตั้งคำถามให้ตรงจุดประสงค์การเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนกำหนดหัวข้อของการตั้งคำถามให้ตรงจุดประสงค์

ขั้นที่ 2 อ่านหรือเตรียมสื่อเพื่อหาความรู้และเตรียมคำถาม ผู้เรียนศึกษาความรู้จากแหล่งต่างๆหรือสื่อที่ผู้สอนเตรียมไว้ให้โดยแบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่มกลุ่มละ 6-8 คนผู้เรียนศึกษาซึ่งและตั้งคำถามลักษณะของคำถามจะแบ่งได้เป็น 3 ลักษณะคือ

1. เป็นคำถามที่เป็นข้อเท็จจริง

2. คำถามที่ต้องการคำอธิบายชี้แจง

3. คำถามเกี่ยวกับการประเมินคุณค่าเนื้อหาหรือความคิด

ขั้นที่ 3 วางแผนและการจัดกลุ่มคำถาม ผู้เรียนแต่ละกลุ่มจะจับกุมคำถามของตนตามเนื้อหาสาระที่เป็นเรื่องเดียวกันเข้าด้วยกัน ถ้าเลือกประเด็นคำถามที่ไม่ตรงประเด็นออกแล้วนำคำถามของผู้อื่นมารวมกัน

ขั้นที่ 4 ดำเนินการถามตอบ ควรมีการจัดที่นั่งในการดำเนินการโดยผู้ตอบคำถามค่ะนั่งหน้าชั้น ส่วนผู้ถามเจ้าหน้าที่ด้านข้างของผู้ตอบคำถามมุมใดมุมหนึ่งของห้องเรียน

ขั้นที่ 5 ทบทวนและสรุปความรู้ ครูผู้สอนและผู้เรียนช่วยกันสรุปเนื้อหาสาระตามประเด็นคำถาม โดยจัดหมวดหมู่ของเนื้อหาสาระความรู้เข้าด้วยกันและตั้งเป็นหัวข้อเรื่องที่จะเป็นคำตอบ คล้ายกันเข้าด้วยกัน

ขั้นที่ 6 กิจกรรมสร้างสรรค์ เมื่อตอบประเด็นคำถามหมดทุกประเด็นแล้วผู้เรียนแต่ละกลุ่มจัดประชุมเพื่อวางแผนกิจกรรม เช่น ทำสมุดถามตอบ เขียนบทความประกวด สมุดบันทึกความรู้ เขียนบทวิจารณ์ เขียนแผนภูมิด้วยแผนความคิด Mind Mapping จัดทําป้ายนิเทศ สรุปความคิดรวมกันทั้งชั้น       

วิธีสอนแบบโครงสร้างความรู้วิธีสอนแบบโครงสร้างความรู้หรือแผนผังความคิด Graphic organizer เป็นการฝึกให้ผู้เรียนรวบรวมข้อมูล หรือความรู้จากการศึกษาค้นคว้า การอ่าน การฟังคำบรรยาย แล้วนำข้อมูลมาจากกลุ่มเขียนเป็นภาพแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างความคิดกระบวนการคิดและความสำคัญของกระบวนการโดยใช้รูปภาพซึ่งสามารถแสดงโครงสร้างความคิดได้หลายรูปแบบ (ชาตรี เกิดธรรม2546หน้า 86) ดังนี้

1. แผนผังความคิด (Mind Mapping หรือ Mind Map)แผนผังความคิด ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ระหว่างการคิดกระบวนการคิดและความสัมพันธ์ของกระบวนการคิดตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งจะช่วยทำให้มองเห็นภาพรวมของความคิด และโครงสร้างของความคิดในเรื่องที่กำลังคิดมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างความคิดหลักความคิดรองและความคิดย่อยที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันหักศึกษา จะช่วยให้เข้าใจมากขึ้นลักษณะการเขียนแผนผังความคิดเห็นว่าจากความคิดหลักจะเชื่อมโยงไปสู่ความคิดลองในหลายๆประเด็นก็จะประกอบด้วยความคิดย่อยและจากความคิดด้วยก็อาจจะประกอบด้วยความคิดย่อยลงไปอีกก็ได้

2. ผังแสดงความสัมพันธ์แบบโครงสร้างต้นไม้ (Tree Structure )
ผังแสดงความสัมพันธ์แบบโครงสร้างต้นไม้จะใช้ในการแสดงความสำคัญของเรื่องที่มีความสัมพันธ์ลดหลั่นกันไปตามลำดับจากใหญ่ไปหาจุดเล็กๆ รูปร่างของการเขียนแบบมีโครงสร้างลักษณะ คล้ายต้นไม้ที่มีกิ่งก้านหรืออาจจะมีลักษณะคล้ายแผนภูมิการบริหารองค์กรวิธีการเขียนให้เริ่มต้นหัวข้อเรื่องไว้ข้างบนหรือตรงกลางแล้วลากเส้นให้เชื่อมโยงกับความคิดรวบยอดที่มีความสำคัญรองๆลงไปตามลำดับลักษณะการเขียนแผนผังแสดงความสัมพันธ์แบบโครงสร้างต้นไม้เมื่อเห็นว่าเป็นรูปแบบที่เหมาะสมในการนำไปใช้ในการนำเสนอโครงสร้างของเรื่องที่ต้องเรียงลำดับความสัมพันธ์ของข้อมูลอย่างเป็นระบบและมีการสรุปเป็นประเด็นของแต่ละเรื่อง

3. แผนผังความคิดแบบเวนน์ (Venn diagram) แผนผังความคิดแบบ เวนน์นี้เป็นแผนที่ไว้แสดงข้อมูลเพื่อให้เกิดความคิดรวบยอดที่หมายถึงความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่างๆของบุคคลสถานที่หรือสิ่งของในลักษณะต่างๆเป็นการวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ของแนวคิดตั้งแต่ 2 แนวคิด ขึ้นไปโดยสามารถเขียนแผนผังแสดงความคิดดังต่อไปนี้แผนผังความคิดของเวนน์จะเห็นว่าผู้หญิงและผู้ชายมีลักษณะที่เหมือนกันคือเป็นสิ่งที่มีชีวิตที่เรียกว่าคนเหมือนกันส่วนลักษณะมีจุดแตกต่างกันไป

4. แผนผังความคิดแบบวงจรหรือแบบวัฏจักร (Cycle graph) แผนผังความคิดแบบวงจรหรือแบบวัฏจักรเป็นการคิดแบบวงจรที่ใช้แสดงข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันระหว่างเหตุการณ์ต่างๆกับระยะเวลาที่มีการเรียงลำดับการเคลื่อนไหวของข้อมูลที่เป็นวัฏจักรที่ไม่มีจุดเริ่มต้น ณที่ ใดที่หนึ่ง

5. แผนผังก้างปลา (fish boone)แผนผังก้างปลาเป็นแผนผังความคิดที่นิยมเพื่อแสดงสาเหตุและผลต่างๆของปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นจะเห็นว่าการเขียนแผนผังก้างปลาเพื่อแสดงสาเหตุของปัญหาจะทำให้มองเห็นสาเหตุของปัญหาได้ละเอียดรอบคอบครบถ้วนเหมาะสม ในการนำไปใช้ในการระดมความคิดเพื่อหาสาเหตุของปัญหาทั้งที่เป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่ม

6.แผนผังแบบลำดับขั้นตอน (sequence chart)แผนผังแบบลำดับขั้นตอนเป็นแผนผังที่แสดงให้เห็นถึงสภาพเหตุการณ์หรือเนื้อหาสาระที่เป็นกระบวนการเรียงลำดับขั้นตอน เป็นแผนผังที่แสดงให้เห็นถึงสภาพเหตุการณ์หรือเนื้อหาสาระที่เป็นกระบวนการเรียงตามลำดับต่อเนื่องกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญที่แสดงด้วยแผนผังแบบลำดับเป็นขั้นตอนตั้งแต่เริ่มต้นโดยมีเครื่องหมายลูกศรแสดงเส้นทางของลำดับขั้นตอนให้เห็นอย่างชัดเจน

แนวคิดเกี่ยวกับการประเมินประสิทธิภาพการสอนการสอนเน้นกระบวนการกระทำหรือการจัดประสบการณ์ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างคุ้มค่าและให้ได้รับประสบการณ์ตามความคาดหวังหรือวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ดำเนินไปตามวัตถุประสงค์ของการสอนผู้สอนควรพิจารณาเลือกวิธีสอนต่างๆไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมในการจัดการเรียนการสอนนั้นๆโดยอาศัยปัจจัยต่างๆอาทิ เหมาะสมกับเนื้อหาที่จะสอนในความสามารถประสบการณ์และความสำคัญการประเมินประสิทธิภาพการสอน  นอกจากจะใช้วิธีเทียบเคียงกับหลักและลักษณะการสอนที่ดี ทางในขั้นต้นแล้ว อาจจะใช้เกณฑ์ในการพิจารณาจากความหมายของประสิทธิภาพการสอนที่ หมายถึง ผลการสอน ที่ทำให้ผู้เรียนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมโดยอาศัยความสามารถในการปฏิบัติการสอนของผู้สอนหรือการดำเนินการสอนในการวางแผนการเรียนรู้ออกแบบ และเลือกวิธีการจัดการเรียนรู้ตลอดบุคลิกลักษณะหรือพฤติกรรมต่างๆของผู้สอนที่จะทำให้การเรียนการสอนนั้นๆบรรลุสำเร็จอย่างราบรื่นตามความมุ่งหมาย  ส่วนวิธีการที่จะได้นำมาซึ่งข้อมูลนั้นอาจได้มาจากการพูดคุยสัมภาษณ์สังเกตแบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วมในที่นี้ขอนำเสนอการได้มาซึ่งข้อมูลในการประเมินประสิทธิภาพการสอนจาก 4 แหล่งคือ

1. ประเมินตนเอง (Teacher self- Report)

2.การสังเกตการสอนในชั้นเรียน (Observation Report)

3. การประเมินโดยผู้เรียน (student Report)

4. การประเมินจากกลุ่มเพื่อน (Teacher peers)การประเมินประสิทธิภาพการสอนไม่ว่าจะใช้วิธีใดหรือจากแหล่งข้อมูลใดการประเมินประสิทธิภาพการสอนควรมุ่งพิจารณาในประเด็นต่างๆดังนี้

1. จุดมุ่งหมายของการสอน

2. วิธีสอนเป็นเทคนิคหรือกลวิธีที่ผู้สอนจะต้องเลือกใช้

3. สื่อการสอนเป็นส่วนประกอบที่ช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้ที่สมบูรณ์แก่ผู้เรียน

4. การวัดผลเป็นกระบวนการติดตาม ผลการปฏิบัติการสอนว่าผู้เรียนเกิดคุณลักษณะต่างๆ

5. ความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อคุณลักษณะและพฤติกรรมของผู้สอนการจัดการเรียนการสอน

กิจกรรมการเรียนการสอนกิจกรรมการเรียนการสอนหมายถึงการจัดกิจกรรมโดยวิธีต่างๆอย่างหลากหลายที่มุ่งให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริงเกิดการพัฒนาตนและสร้างเสริมคุณลักษณะที่จำเป็นสำหรับการเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมของประเทศชาติต่อไปเริ่มจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนจึงต้องใช้เทคนิควิธีการเรียนรู้รูปแบบการเรียนการสอนหรือกระบวนการเรียนการสอนในหลากหลายวิธี

กิจกรรมการเรียนการสอนตามขั้นตอนของการใช้ในการเรียนการสอนกิจกรรมการเรียนการสอนในห้องเรียนหรือในการสอนแต่ละครั้งมักถูกออกแบบเป็น 3 ขั้นตอน คือกิจกรรมนำเข้าสู่บทเรียน กิจกรรมขั้นการสอน และกิจกรรมขั้นสรุป โดยแต่ละกิจกรรมมีรายละเอียดดังนี้

1.กิจกรรมขั้นนำเข้าสู่บทเรียน เป็นการสอนที่ให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและดึงดูดชักนำให้ผู้เรียนเกิดความอยากรู้อยากเรียนเนื้อหาที่ผู้สอนจำเป็นจะต้องให้เสริมประสบการณ์ใดก่อนหรือไม่ และในการนำกิจกรรมต่างๆไปใช้นี้ก็ควรได้มีการพิจารณาเรื่องของการแบ่งเวลาให้เหมาะสมไม่ใช้เวลามากจนเกินไปกิจกรรมที่นำเข้าสู่บทเรียนมีได้หลากหลายตัวอย่างเช่นกิจกรรมเล่าเรื่องต่างๆ      

2. กิจกรรมขั้นการสอน ผู้สอนสามารถนำมาใช้ได้หลายรูปแบบตามวิธีการสอนต่างๆโดยผู้ส่งจะต้องพิจารณาตามความ สมควรเหมาะสมในการนำมาใช้โดยพิจารณาตามหลักทฤษฎีต่างๆและข้อจำกัดของการสอนนั้นแม้นกิจกรรมสอนมีหลายวิธีการ ด้วยการใช้การสอนแบบรายงาน การสอนแบบการแก้ปัญหาหรือการสอนแบบวิทยาศาสตร์ การสอนโดยการแสดงบทบาทสมมุติ การสอนโดยกระบวนการเป็นกลุ่มการสอนและเป็นศูนย์กลางการเรียน การสอนแบบหน่วย เป็นต้น

3. กิจกรรมขั้นสรุป เป็นการประมวลสาระสำคัญของบทเรียนแต่ละบทเรียนที่ได้เรียนจบลงเพื่อให้ผู้เรียนได้แนวคิดที่ถูกต้องในบทเรียนนั้นๆ และเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้ในเนื้อหาต่อไปโดยทั่วไปแล้วการสรุปบทเรียนส่วนใหญ่จะเป็น เพื่อสรุปใจความสำคัญแต่ละตอน ในระหว่างบทเรียน หรือสรุปเมื่อจบบทเรียนหรือเมื่อผู้เรียนฝึกปฏิบัติจบลงก็เป็นไปได้กิจกรรมเข้าสู่บทเรียนหรือเนื้อหาที่สอนนี้สามารถทำได้หลายวิธีดังนี้                

3.1 การสรุปทบทวน

3.2 การสรุปจากการปฏิบัติ

3.3 สรุปการใช้อุปกรณ์

3.4 สรุปจากการสร้างสถานการณ์ลักษณะของกิจกรรมการเรียนการสอนที่ดี

1.กิจกรรมที่จัดขึ้นต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอน

2. ต้องเป็นกิจกรรมที่สามารถทำให้ผู้เรียนเกิดความคิดรวบยอด

3. ควรมีการจัดลำดับชั้นของกิจกรรมจากสิ่งที่ง่ายไปหาสิ่งที่ยาก

4. ต้องเป็นกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัย

5. ต้องมีลักษณะของกิจกรรมที่ท้าทาย

6. เพิ่มเป็นกิจกรรมการเรียนการสอนที่ เปิดกว้าง

7. เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักการใช้ความคิด

8. ควรเป็นกิจกรรมที่ผู้สอนมีบทบาทเพียงผู้ชี้แนะ

5. ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมีทฤษฎีที่มีความเกี่ยวข้องดังต่อไปนี้

1. ทฤษฎีการสรรค์สร้างความรู้ (Constructivism) เป็นทฤษฎีที่มุ่งความสนใจไปที่บทบาทของผู้เรียนในการสร้างองค์ความรู้ใหม่ นักจิตวิทยาการเรียนรู้แนวคอนสตรัคติวิซึมที่มีชื่อเสียงกลุ่มมีได้แก่ Dewey,Piaget,VigoskyและAusubelเชื่อว่าการเรียนรู้เป็นการพยายามเชิงสังคมเป็นการเรียนรู้แบบร่วมมือกันซึ่งมีความสำคัญของการสร้างความรู้โดยกลุ่มคน ซึ่งกล่าวโดยสรุปได้ว่าทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ซึ่งมีแนวคิดพื้นฐานดังนี้

1.1 ผู้เรียนตั้งระบบความเข้าใจด้วยตนเองมากกว่าการส่งผ่านบริการถ่ายทอดจากผู้สอน

1.2 การเรียนรู้ไหมสร้างบนพื้นฐานของการเรียนรู้ที่ผ่านมา ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ได้โดยอาศัยประสบการณ์เดิมของผู้เรียน

1.3 การเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมจะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทำความเข้าใจกับแนวคิดต่างๆและทำให้ผู้เรียนได้มีโอกาสประเมินความเข้าใจตนเอง

1.4 การเรียนรู้ด้วยประสบการณ์จริงการเสริมสร้างให้การเรียนรู้ที่มีความหมายการเรียนรู้ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิซึมนั้น ยอมรับข้อมูลที่มีอยู่ในน้ำและข้อมูลใหม่ที่เกิดขึ้น

2. ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behavionsm) เป็นทฤษฎีที่ชื่อว่าการเรียนรู้เกิดจากพลังกระตุ้นจากภายนอกในรูปแบบของการให้รางวัลและการลงโทษ ผู้เรียนมีบทบาทคอยรับสิ่งเร้าและมีปฏิสัมพันธ์ ส่วนผู้สอนมีบทบาทในการควบคุมและกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมที่คาดหมาย ด้วยการให้รางวัลหรือการลงโทษ

3. ทฤษฎีพุทธินิยม (Cognitivism) เป็นทฤษฎีที่ชื่อว่าการเรียนรู้เกิดจากการรับข่าวสารจัดเก็บข่าวสารและการนำข่าวสารออกมาใช้ ผู้เรียนต้องตื่นตัวในการพัฒนากลยุทธ์ที่จัดสร้างความเข้าใจอย่างมีความหมาย ส่วนผู้สอนถือเป็นผู้ร่วมขบวนการพัฒนากลยุทธ์และการใช้กลยุทธ์อย่างมีความหมาย

4. ทฤษฎีมนุษย์นิยม (Humanism) มนุษย์ทุกคนเกิดความพร้อมกับความดีที่ติดตัวมาแต่กำเนิดมีอิสระที่จะนำตนเองและพึ่งตนเองได้มีความคิดสร้างสรรค์ที่จะทำประโยชน์ต่อสังคม มีอิสระในการเลือกทำสิ่งต่างๆที่จะทำให้ผู้อื่นไม่เดือดร้อน ในการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีนี้ ควรให้ผู้เรียนมีสมรรถภาพในด้านความรู้ อารมณ์ ความรู้สึก และทักษะไปพร้อมพร้อมกัน ซึ่งความว่ามีคนฝึกให้ผู้เรียนรู้จักคิดรู้จักใช้เหตุผลมีความชื่นชมต่อสิ่งที่เรียนและค่อยๆรุนแรงโดยทำกิจกรรมต่างๆด้วยตนเอง

6. บทบาทของผู้เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ตามแนวการปฏิรูปการศึกษา 

การจัดการเรียนรู้ตามแนวการปฏิรูปการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยความร่วมมือของหลายฝ่ายร่วมมือการพัฒนาและปรับปรุงผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครู ผู้สอน ศึกษานิเทศก์ พ่อแม่ ผู้ปกครอง ชุมชน องค์กรสถาบันวิชาการ หน่วยงานและสื่อมวลชนพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ. ศ. 2542 ที่แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ. ศ. 2545 มาตรา๒๔กำหนดบทบาทของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้อย่างชัดเจน โดยการประสานเชื่อมโยงบทบาทของทุกคนให้เกิดการปฏิรูปทางการศึกษาโดยมีลักษณะสำคัญดังนี้   

 บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษา

1. ปรับเปลี่ยนแนวคิดในการบริหารจัดการเพื่อปฏิรูปการเรียนรู้

2. กำหนดแผนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาโรงเรียนไว้ในธรรมนูญโรงเรียนมี แผนยุทธศาสตร์ในการปฏิรูปการเรียนรู้ตามแนวทางของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ. ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ. ศ. 2545 หมวด 4 ที่ว่าด้วยแนวทางการจัดการศึกษา

3. ปรับปรุงการบริหารจัดการให้เพื่ออำนวยความสะดวกให้ครูผู้สอนได้มีเสรีภาพในการคิดพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ทำการวิจัยในชั้นเรียน แลกเปลี่ยนเรียนรู้การในระหว่างเพื่อนครู การทำงานโดยการผนึกกำลังของกลุ่มวิชาการต่างๆเพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ให้ได้มาตรฐานหลักสูตร

4. พัฒนาสภาพแวดล้อมในโรงเรียนให้มีบรรยากาศเลือกต่อการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญที่สุด

5. จัดให้มีระบบนิเทศภายในช่วยเหลือครูในด้านการพัฒนาหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง    

 บทบาทของครูผู้สอน

1.ปรับเปลี่ยนแนวคิดให้เอื้อต่อการปฏิรูปการเรียนรู้เป็นตัวอย่างในการพัฒนาวินัยในตนเอง

2. พัฒนาตนเองอยู่เสมอให้มีความรู้และความสามารถในการปฏิบัติการปลูกฝังค่านิยมที่ดี และจริยธรรมให้ผู้เรียนให้ความรักความเมตตาต่อผู้เรียน

3. ออกแบบการจัดการเรียนรู้และการวัดผลประเมินผลตามสภาพจริง

4. ทำการวิจัยในชั้นเรียนควบคู่กับการเรียนการสอนนำผลมาพัฒนาปรับปรุง

5. สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการกำหนดบทบาทของผู้เรียน

6. ช่วยให้ผู้เรียนยอมรับและพัฒนาตนเอง มีความเข้าใจตนเอง ยอมรับความรู้สึกของตนเอง มีความเชื่อมั่นในตนเองว่าเป็นคนมีคุณค่า

7. ให้คำปรึกษาในด้านการเรียนการสอนการวางแผนชีวิตและแนวทางการพัฒนาตนเองสู่อาชีพช่วยให้ผู้เรียนตั้งจุดมุ่งหมายในชีวิตตามสภาพความเป็นจริงที่เป็นไปได้

8. ช่วยให้ผู้เรียนมีวุฒิภาวะรู้จักข้อดีข้อเสียของตนเอง

9. กระตุ้นให้ผู้เรียนกล้าเผชิญปัญหาและสถานการณ์ต่างๆ

10. ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจลีลาการเรียนรู้ของตนเองเข้าใจกระบวนการเรียนรู้ และรู้จักวิธีการพัฒนาตนเองให้เป็นผู้ใฝ่รู้อยู่เสมอ

11. ช่วยให้ผู้เรียนรู้จักประเมินผลการเรียนรู้ด้วยตนเอง ประเมินตนเองและทบทวนการปฏิบัติเพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้นเสมอ

12. เป็นกัลยาณมิตรกับนักเรียน เพื่อนครู และบุคลากรในโรงเรียน   

บทบาทของพ่อแม่ผู้ปกครอง

1. ปรับเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้

2. ให้ความรักและความอบอุ่น

3. ให้การอบรมเลี้ยงดูเอาใจใส่ในการสร้างสุขนิสัยที่ดี พัฒนาพฤติกรรมสุขภาพและป้องกันปัญหาต่างๆ

4. เป็นตัวอย่างแก่บุตรธิดา และปลูกจิตสำนึกในเรื่องวินัยในตนเองความรับผิดชอบความปลอดภัย

5. สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ในบ้าน

6. ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำและการเสริมแรง

7. ร่วมมือกับโรงเรียนในการให้ข้อมูลและประเมินผู้เรียน

8. เป็นแบบอย่างที่ดีในการดำเนินชีวิต    

บทบาทของชุมชน

1. ปรับเปลี่ยนแนวคิดความเชื่อในเรื่องการปฏิรูปการศึกษา

2. ให้ความร่วมมือในการระดมทรัพยากรเพื่อการเรียนรู้

3. ร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ในการพัฒนาสถานศึกษาในทุกๆด้าน

4. ประสานสัมพันธ์กับสถานศึกษาเพื่อสร้างบรรยากาศให้ชุมชนเป็นแหล่งการเรียนรู้ และพัฒนาชุมชนเป็นสังคมแห่งปัญญา

5. ดูแลเอาใจใส่พฤติกรรมของเด็กและเยาวชนในชุมชน   

บทบาทของผู้เรียนความมุ่งหมายของการปฏิรูปการเรียนรู้ คือ ต้องการให้ผู้เรียนมีลักษณะ เก่ง ดี มีความสุข ผู้เรียนจึงต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนรู้จากผู้รับความรู้มาเป็นผู้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับความถนัดความสนใจ และความสามารถของตนเอง ดังนั้น บทบาทหน้าที่ของผู้เรียนควรมีดังนี้

1. กำหนดเป้าหมายการศึกษาให้สอดคล้องกับความสามารถความถนัดและความสนใจของตนเอง

2. มีส่วนร่วมในการวางแผนการจัดกระบวนการเรียนรู้วางแผนการเรียนรู้ของตนเองร่วมกับผู้ปกครองและครู

3. รับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตนเองรู้จักการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์บริหารจัดการเรียนรู้ของตนเอง

4. ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต

5. ปฏิบัติตนเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้รู้วิธีแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง

6. รู้จักประเมินตนเองและผู้อื่น

7.ศรัทธาต่อผู้สอนมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับครูและเพื่อน




ที่มา 

หนังสือ วิชาการออกแบบและการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน. ผศ.ดร.พิจิตรา ธงพานิช. นครปฐม : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์, 2560.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น